เมื่อทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆแอบออกมาจากที่พักชั่วคราวของตระกูลประทับหยกอย่างเงียบๆ ถึงยังไงพวกเขาก็มีความสัมพันธ์กันเพียงแค่ทางด้านธุรกิจเท่านั้น พวกนั้นก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามอะไรพวกเนี้ยหลี่อยู่แล้ว
ทางเข้าไปยังชั้นแรกของหอคอยมรณะเก้าชั้นนั้น เป็นทางที่ทอดยาวพันเป็นเกลียวหอยทอดนำไปสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยหมอกควันหนา บดบังวิสัยทัศน์
หมอกของที่นี่นั้นหนาแน่นมาก ทัศนวิสัยแย่ไปหมดแถมยังหลอนด้วย
เดินๆอยู่บางครั้งก็จะเห็นเงาคนลางๆจำนวนหนึ่งเดินหายเข้าไปในกลุ่มหมอกที่หนากว่าเดิม
ระหว่างเดินอยู่นั้น เนี้ยหลี่ก็รับรู้ได้ถึงออร่าแห่งความตายที่ลอยโชยดั่งลมปะทะหน้าผิดวิสัยลมปกติที่พัดไปทางอื่น
บนพื้นทางเดินนั้นเต็มไปด้วยซากกระดูกและเศษเกราะอาวุธที่ผุพังตามกาลเวลา ที่หากเพียงสัมผัสเบาๆก็อาจจะแตกหักได้ พอสัมผัสได้ถึงออร่าแห่งความตาย
กลุ่มของเนี้ยหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขนพองไปตามๆกัน
“โชคดีที่ไม่ได้มาคนเดียว” หลู่เปียวพูดเสียงสั่นพลางมองซ้ายมองขวา ที่นี่มันเหมาะให้มนุษย์มาเหยียบย่างเลยจริงๆ
พอเดินไปได้เรื่อยๆพวกเขาก็เริ่มพบกลุ่มอื่นๆจึงทำให้คลายความกลัวลงไปได้บ้าง
พวกคนเหล่านั้นส่วนมากต่างเป็นนักสู้ที่มาจากนานาตระกูลในดินแดนใต้พิภพแห่งนี้ และส่วนใหญ่ก็อยู่ระดับแบล็คโกลด์กันแล้วทั้งนั้น อาจจะมีบ้างที่อยู่ระดับตำนานแต่ก็ไม่มาก ส่วนระดับเซียนนั้น พวกเขาก็ไม่คิดที่จะมาเดินเล่นในชั้นหนึ่งของหอคอยมรณะแบบนี้หรอก
พอเข้าไปในกลุ่มหมอกที่หนากว่าเดิม ทัศนวิสัยรอบๆก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เงาลางๆของเหล่านักสู้จากตระกูลต่างๆที่เพิ่งเห็นก็เริ่มเลือนหายไป
“เกิดไรขึ้นเนี่ย คนพวกนั้นหายไปไหน” ตู่ซือถามด้วยความกระวนกระวาย
ทั้งเอียจืออวิ้นกับคนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเช่นเดียวกัน เมื่อกี้พวกเขาเพิ่งจะเห็นว่าคนพวกนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตรด้วยซ้ำ แล้วทำไมอยู่ดีๆพวกนั้นถึงหายไปได้ล่ะ
เนี้ยหลี่เริ่มสัมผัสความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้จึงรีบพูดขึ้นว่า “ตัวติดกันเข้าไว้ มีใครบางคนแอบวางหมอกมายาไว้แถวนี้ มันจะทำให้คนพลัดหลงกันได้ง่าย หมอกนี้มันอยู่ได้ประมาณวันกว่าๆก่อนจะค่อยๆหายไป แต่ข้าคิดว่าหมอกที่เราประสบอยู่ตตอนนี้น่าจะอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมงหรอก เพราะงั้นถ้าหากใครเกิดพลัดหลงเข้าก็รอให้หมอกหายก่อนแล้วค่อยตามหากันนะ”
ทว่าพูดยังไม่ทันขาดคำ เนี้ยหลี่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าหลู่เปียวกับเซี่ยวเสว่ได้หลงหายไปแล้ว
จากนั้นก็เป็นตู่ซือต่อมาก็ต้วนเจี้ยน
สมาชิกกลุ่มค่อยๆหลงหายกันไปทีละคนๆ เห็นดังนั้นเนี้ยหลี่จึงคว้ามือไปจับมือเอียจืออวิ้นไว้แน่น ก่อนจะเดินไปหาเซี่ยวหนิงเอ๋อ ทว่าพอมองอีกทีก็พบว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นได้พลัดหายไปเสียแล้ว และยังไม่ทันไร จู่ๆยู่เหยียนก็เหมือนว่าเธอจะพบอะไรเข้า เธอจึงได้ทะยานตัวออกไปและหายไปอีกคน...
“หนิงเอ๋อ!” เนี้ยหลี่ตะโกนเรียกหาหนิงเอ๋อ ทว่ากลับไร้เสียงตอบรับ
“หนิงเอ๋อกับคนอื่นๆจะเป็นอะไรมั้ยนะ” เอียจืออวิ้นถามด้วยความเป็นห่วง
ในใจเธอตอนนี้ระส่ำระส่ายตกใจอย่างบอกไม่ถูก “พวกนั้นไม่เป็นไรหรอก ถึงแม้จะแยกกันแต่ด้วยขอบเขตวิญญาณของพวกเราเชื่อมถึงกัน เรายังสามารถรู้ได้ว่าพวกนั้นสบายดีไหม ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” เนี้ยหลี่กล่าว “ยังไงเราก็จะได้เจอกันอีกครั้งแน่นอน!”
ทางด้านเอียจืออวิ้นที่ถูกเนี้ยหลี่จับมือไว้แบบนี้ จู่ๆเธอก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงจะอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดที่จะปัดเอามือเนี้ยหลี่ออก เพราะเธอรู้ว่าภายในหมอกมายานี้ หากคลาดเพียงแค่นิดเดียวก็อาจทำให้พวกเขาหลงกันได้ ทั้งตอนนี้เธอก็เป็นคู่หมั้นของเนี้ยหลี่แล้ว ทั้งๆที่เธอไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะมากลายเป็นคู่หมั้นของเนี้ยหลี่แบบนี้ ถึงจะยังไม่คุ้นชินกับสถานะนี้ก็เถอะแต่เธอก็จะพยายามไม่แสดงอะไรออกมาให้เนี้ยหลี่เป็นห่วง
หลังจากเดินทางฝ่าหมอกมายามานานนับชั่วโมง
ในที่สุดเนี้ยหลี่ก็พาเอียจืออวิ้นออกมาจากหมอกมายาได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะไม่เจอพวกที่เหลือ แต่เนี้ยหลี่ก็รู้ว่าพวกเขาอยู่ห่างกันไม่มากเท่าไหร่ แต่หากจะให้หาก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรเช่นกัน
พอพ้นแนวหมอกมาได้แล้ว เนี้ยหลี่ก็เห็นแสงสีแดงอะไรแวบๆจากที่ไกลๆ คลื่นออร่าที่ดูลึกลับและน่าเกรงขามจากเจ้าสิ่งนั้นถูกแผ่กระจายไปทั่วจนเนี้ยหลี่ยังรู้สึกได้ ออร่าที่เนี้ยหลี่สัมผัสได้จากมันนั้นช่างบริสุทธิ์เสียเหลือเกิน
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของเนี้ยหลี่ คงจะกำลังมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นสินะ?
“ตามข้ามา” เนี้ยหลี่บอกเอียจืออวิ้นก่อนจะเริ่มเดินต่อด้วยกัน
เอียจืออวิ้นเดินตามหลังเนี้ยหลี่ บรรยากาศรอบตัวพวกเขาตอนนี้นั้นราวกับอยู่ในหนังรักที่ตัวนางหนีตามตัวพระก็มิปาน
หน้าพวกเขาตอนนี้นั้นมีบึงใหญ่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยน้ำโคลนที่ดูไม่น่าจะมีอะไร แต่มันกลับดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนี้ ดูได้จากแสงสีแดงที่เรืองรองทะลุผ่านน้ำโคลนออกมา ออร่าที่ถูกเปล่งออกมานั้นเพียงแค่สัมผัสก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่อยู่ใต้บึงนี้นั่นได้ยั่วน้ำลายฝูงชนจำนวนมากให้มาหามัน เหล่านักสู้จากนานาตระกูลได้มายืนออกันอยู่ขอบสระ ต่างโต้เถียงพูดคุยกันว่าจะมีอะไรอยู่ข้างใต้นี่ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครกล้าลงไปในบึงเลย เพราะถึงชั้นแรกของหอคอยมรณะเก้าชั้นจะค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยกันหมด
สมบัติที่เรืองรองใต้บึงตรงหน้าได้ล่อให้คนมากันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงจะไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรแต่ของแบบนี้ใช่ว่าจะเห็นได้ง่ายๆ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าชั้นหนึ่งของหอคอยมรณะเก้าชั้นจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่แบบนี้ ทั้งยังปล่อยพลังที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ออกมาอีกด้วย แสดงว่ามันต้องเป็นอะไรที่ล้ำค่ามากแน่ๆ!”
ตามขอบสระนั้น ได้มีนักสู้มากกว่าร้อยคนได้มารวมตัวกันและเริ่มแบ่งพรรคแบ่งพวกเบ่งใส่อีกฝ่าย
หากมีสิ่งล้ำค่าผุดออกมาแบบนี้ นั่นย่อมหมายความว่า มันจะมีการนองเลือดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ไม่มีใครกล้าลงไปงมเอาไอ้แสงๆนั่นเลยเหรอ?” ชายหนุ่มเกราะเงินคนหนึ่งเอ่ยถามและมองด้วยความสงสัย แค่มายืนจ้องอยู่เฉยๆแบบนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร
“นายน้อย ข้าจำได้ว่าในครั้งอดีตเคยมีเรื่องเล่าว่า ในบึงแห่งนี้ได้มีสิ่งล้ำค่าซุกซ่อนไว้อยู่ และไม่กี่ปีก่อน บึงแห่งนี้ก็มีแสงปล่อยออกมา แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเหล่านักสู้ระดับเซียนมากมายก็ได้มาที่นี่เพื่อเสาะหาสิ่งล้ำค่านั้น ทว่าพวกเขาก็ไม่เจออะไรเลย” หนึ่งในข้ารับใช้ที่ยืนข้างชายสวมเกราะเงินกล่าวด้วยความนอบน้อม
ชายเกราะเงินขมวดคิ้วคิด หากไม่รีบฉวยโอกาสตอนนี้ครั้งหน้าเจ้าสิ่งล้ำค่าในบึงอาจจะไม่โผล่มาอีก หากพลาดไปคงไม่มีโอกาสอีกเป็นแน่!
ทันใดนั้นชายเกราะเงินก็ใช้มือขวาจับหมับเข้าที่คอเสื้อของหนึ่งในข้ารับใช้ ก่อนจะขว้างมันผู้นั้นลงไปในบึงโคลน ถึงแม้ข้ารับใช้คนนั้นจะมีระดับถึงแบล็คโกลด์ แต่เขากลับถูกจับโยนง่ายๆโดยชายเกราะเงินคนนี้!
“ลงไปงมมันมาให้ข้าซะ” ชายเกราะเงินกล่าวเสียงเรียบ สีหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
ทางด้านข้ารับใช้ที่ถูกโยนลงไปในบึงโคลนพอได้ยินแบบนี้ก็ไม่กล้าว่ายกลับเข้าฝั่ง มันจึงจำใจต้องดำลงไปใต้น้ำและเริ่มต้นสาดส่องหาที่มาของแสง ผ่านไปชั่วครู่ บนผืนน้ำก็เกิดระลอกคลื่นสั่นไหวอย่างรุนแรง
...และตามมาด้วยเลือดที่เจิ่งนองเต็มผืนน้ำ
พอเห็นเช่นนั้น หลายๆคนก็หน้าซีดทันทีพลางคิดพ้องกันว่า ใต้น้ำแห่งนี้ต้องมีอะไรที่น่ากลัวมากๆหลบซ่อนอยู่แน่ๆ
ชายเกราะเงินพอเห็นเลือดเจิ่งผิวน้ำ มันก็ปล่อยสีหน้าเย็นชาออกมาทันที เสียคนไปฟรีๆโดยไม่ได้อะไรกลับมาแบบนี้ทำเอาเขาหงุดหงิดสุดๆ
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ๆชายเกราะเงินพอเห็นสีหน้านั้นก็ชักกลัวแล้วว่าตนจะถูกโยนเป็นรายต่อไป
“หมอนั่นใครน่ะ”
“นี่เจ้าไม่รู้จัก ชางหมิง แห่งตระกูลปีกวิญญาณเหรอ เขาถูกยกย่องว่าเป็นชายที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในดินแดนใต้พิภพแห่งนี้เลยนะ!”
“อ๋อ ชางหมิงคนนั้นน่ะเหรอ!”
พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สีหน้าแต่ละคนก็บ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่ากำลังกลัวเกรงอีกฝ่าย ชางหมิงนั้นถูกยกย่องว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดในดินแดนใต้พิภพ ทั้งยังบรรลุถึงระดับเซียนได้อย่างรวดเร็วทั้งๆที่ยังหนุ่ม ได้ยินมาว่าชางหมิงนั้นได้ฝึกตนอย่างหนักเพื่อรอเวลาที่จะกลายมาเป็นหนึ่งในศิษย์ที่จ้าวแห่งดินแดนใต้พิภพยอมรับ!
ไม่ไกลจากชางหมิง ก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนอย่างองอาจ ออร่าของพวกนั้นแต่ละคนนั้นพอๆกับชางหมิงเลยทีเดียว
ตามจริงคนระดับนี้ไม่ควรที่จะมาในสถานที่แบบนี้ด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะมีเวลาเหลือตั้งสามวันกว่าที่ทางเข้าหอคอยมรณะชั้นเจ็ดจะเปิดออก เพราะงั้นพวกระดับสูงๆหลายคนเลยเริ่มเบื่อจึงได้ออกมาหาอะไรทำแก้เซ็ง และนั่นก็ทำให้พวกเขาได้บังเอิญมาพบว่าที่บึงแห่งนี้นั้นอาจมีสิ่งล้ำค่าบางอย่างซุกซ่อนอยู่
หลังจากได้เห็นการกระทำของชางหมิงแล้วนั้น ใบหน้าที่เรียบเนียนของเอียจืออวิ้นก็แสดงออกถึงความเกลียดชังทันที คนถ่อยที่ไม่สนใจชีวิตคนอื่นแบบนี้ หากเอาทั้งเมืองกลอรี่มาเทียบก็คงไม่มีใครเสมอเหมือน แม้จะเป็นพวกคนจากตระกูลศักดิ์สิทธิ์ก็เถอะ พวกมันยังไม่กล้าฆ่าคนเป็นผักปลาแบบชางหมิงเลย
ถึงตอนนี้จะมีคนมากมายที่ละโมบอยากได้สิ่งล้ำค่าใต้บึงโคลน แต่ทว่าก็ยังไม่มีใครกล้าลงไปอยู่ดี
ในตอนนั้นเอง จู่ๆก็เสียงหัวเราะของใครบางคนดังขึ้นมาแต่ไกลๆ “พี่ชายชางหมิง ทำไมท่านกับคนอื่นๆไม่ลงไปล่าสิ่งล้ำค่าด้วยกันเลยล่ะ ส่วนเรื่องส่วนแบ่งนั้นก็ค่อยมาคิดว่าจะแบ่งยังไงกันทีหลังก็ได้”
เจ้าของเสียงที่เอ่ยออกมานั้น เป็นชายชุดขาวสะอาดสะอ้านรูปร่างดูอ้อนแอ้นอายุราวๆสิบหกสิบเจ็ดปี ชุดที่เขาสวมนั้นดูหรูหราเป็นอย่างมาก เขายืนอย่างมั่นใจพร้อมทั้งระบายยิ้มให้กับชางหมิง
“คนนี้ใครอ่ะ”
“มู่เอีย แห่งตระกูลหลอมวิญญาณ หมอนี่ก็เป็นอีกคนที่น่าจับตามอง มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม แต่เป็นเพราะเขาเอาแต่ฝึกและไม่ค่อยเผยตัวออกมาบ่อยนัก ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วเขานั้นอยู่ระดับใดกันแน่”
หลังจากที่เนี้ยหลี่ได้แอบฟังคนเหล่านี้คุยกัน เขาจึงรู้ว่าทั้งมู่เอียและเจ้าชางหมิงนั่นต่างก็มาจากตระกูลที่มีอิทธิพลสูงในดินแดนใต้พิภพแห่งนี้ และแต่ละคนที่คิดจะมาล่าเจ้าสิ่งล้ำค่าในบึงโคลนแห่งนี้ก็มีระดับค่อนข้างสูงอีกด้วย!
พอได้ยินคำที่มู่เอียพูด ชางหมิงก็หัวเราะลั่นและกล่าวว่า “เจ้าพูดมาแบบนี้ คงคิดว่าข้าจะไม่กล้าลงสินะ?”
ถึงแม้ว่าชางหมิงจะไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ซ่อนตัวอยู่ในบึงโคลน แต่เขาก็หาได้กลัวไม่ ในเมื่อเขามีเกราะชั้นเลิศที่สืบทอดกันในตระกูลของเขา แล้วจะมีอะไรที่ยังต้องกลัวอีกล่ะ!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ชางหมิง มู่เอีย และนักสู้คนอื่นๆอีกสี่คนกระโดดลงไปในบึงโคลนแทบจะพร้อมกัน
ส่วนคนอื่นๆนอกจากหกคนนี้ก็ไม่มีใครกล้าโดดตามลงไปเลยสักคน
ห่างออกไปไม่มาก ทางด้านนักรบที่ยืนอยู่ขอบบึงโคลน จู่ๆพวกเขาก็รู้สึกมึนหัวแปลกๆหลังจากเอาแต่จ้องลงไปในบึงโคลนแห่งนี้ อาจจะเป็นเพราะในหอคอยมรณะเก้าชั้นแห่งนี้นั้นมีอีกหลายที่ที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีใครรู้หรอกว่ามีอะไรหลบซ่อนอยู่ที่ไหนบ้าง ทำให้คนพวกนี้ไม่รู้ว่าบึงแห่งนี้มีความลึกลับอะไรซ่อนอยู่และควรรับมือยังไง
หลังจากที่ทั้งหกได้ลงไปในบึงโคลนได้ไม่นาน จู่ๆผิวน้ำก็กระเพื่อมอย่างรุนแรง ก่อนจะมีเกลียวน้ำพุ่งขึ้นไปบนฟ้า เสียงปะทะกันดังสนั่นมาจากก้นบึง และการต่อสู้ก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น
ในที่สุด สัตว์อสูรขนาดเขื่องก็พุ่งขึ้นมาจากบึงโคลนพร้อมกับที่มันคำรามดังกึกก้องปานฟ้าผ่า บนหน้าผากของมันนั้นมีไข่มุกสีชาดเปล่งแสงสุกสกาวยั่วยวนสายตาจากผู้คนฝังไว้อยู่
สัตว์อสูรตัวนี้ดูคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน เกล็ดสีดำมะเมี่ยมครอบคลุมไปทั่วทั้งตัว และถึงแม้แขนขาทั้งสองคู่ของมันจะค่อนข้างสั้น ทว่าหางของมันกลับยาวกว่าสิบเมตร ออร่าแห่งความตายถูกปล่อยออกมาจากร่างกายของมันตลอดเวลา
พอเห็นสิ่งที่ออกมาจากบึงโคลน ทุกคนที่อยู่ตามขอบบึงโคลนก็สะดุ้งตกใจด้วยความกลัว
“น...นั่นมัน มังกรซอมบี้ เจ่าหลง!”
“วิ่ง!!!”
ใต้พิภพมุงกว่าร้อยคนที่ยืนอยู่รอบๆบึงโคลนต่างวิ่งหนีกันอย่างกะนกแตกรัง ทิ้งไว้เพียงแต่คนไม่กี่คนที่ยังคิดจะสู้
“อะไรคือมังกรซอมบี้ เจ่าหลง งั้นเหรอ” เอียจืออวิ้นถามเนี้ยหลี่ด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าเธอและเนี้ยหลี่จะยืนดูอยู่จากระยะไกล แต่เธอก็มองดูออกว่าเจ้ามังกรตัวนี้มีอะไรแตกต่างออกไป
“มังกรซอมบี้ เจ่าหลง เป็นสัตว์อสูรประเภทงู พวกมันเกิดจากพลังแห่งความตายที่ได้มาจากการทับถมของซากศพนับพันกลายมาเป็นสัตว์อสูรที่ชาญฉลาด เมื่อมังกรซอมบี้ เจ่าหลงโตเต็มวัย มันจะมีระดับตำนาน และทุกๆพันปี ความแข็งแกร่งของมันจะเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น และด้วยเวลานับหมื่นปีที่เจ้ามังกรตรงหน้าเรานี้มีชีวิตอยู่ บางทีตอนนี้มันอาจจะบรรลุถึงขั้นเทพสถิต(Spiritual God)แล้วก็ได้”
จบตอน
แปลไทยโดย