วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 274 - ที่เหมาะสม

บทที่ 274 - ที่เหมาะสม

พวกเจ้ารู้จักสมุนไพรหญ้ายอดสีชาดหรือไม่? หากนำมันไปผสมเข้ากับอาหารหรือน้ำดื่ม ผลของมันจะทำให้เกิดเป็นพิษ อีกทั้งยัง ไร้กลิ่น ไร้สี และไร้รส ไม่ว่าผู้ใดก็ยากแก่การรับรู้ว่าโดนวางยา อาการหลังจากรับพิษเข้าไปแล้ว ร่างกายจะรู้สึกติดขัด ชีพจรจะค่อยๆตีบตัน จนท้ายที่สุดการบ่มเพาะพลังจะหยุดชะงัก และมิอาจฝึกฝนต่อไปได้อีกเนี้ยหลี่อธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ทุกถ้อยคำจากเด็กหนุ่ม ส่งผลให้หัวใจของกู่หลานพลันสั่นสะท้าน อาการที่เขาได้กล่าวอธิบายมานั้นตรงกับตัวนางทุกระเบียดนิ้ว

กูเป่ยพุ่งร่างเข้าจับไหล่ทั้งสองของเนี้ยหลี่พลางเอ่ยถามอย่างมีความหวัง ถ้าหากสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง เจ้าสามารถรักษาอาการที่ว่ามาเหล่านี้ได้หรือไม่?”

ไม่ต้องห่วง การรักษาพี่สาวของเจ้าไม่ใช่แค่วันสองวัน ฉะนั้นเจ้าอย่าพึ่งใจร้อน ก่อนที่ข้าจะมาถึงที่นี่ ข้าคิดว่านางทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยปกติทั่วไป ข้าเลยมั่นใจว่าความสามารถของข้าสามารถรักษานางได้ แต่ทว่า ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่ากู่หลานจะถูกกระทำต่ำช้าอย่างการโดนลอบวางยาเยี่ยงนี้ ทั้งหมดล้วนผิดคาดเสียจริงเนี้ยหลี่กล่าวในขณะที่สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

 “เนี้ยหลี่ประกายแห่งความหวังถูกจุดขึ้นมาในหัวใจของกู่เป่ย สายตาของเขาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนจะกล่าวว่า หากเจ้ารักษาอาการของพี่สาวของข้าได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ข้าจักนำมาให้แก่เจ้า

บิดามารดาของกู่หลานและกู่เป่ยนั้นได้ล้มหายตายจากไปเนิ่นนาน ถึงแม้บุตรทั้งสองของพวกเขาจะมีสายเลือดหลักในการเป็นผู้สืบทอดผู้นำตระกูลโดยตรง ทั้งยังมีพรสวรรค์โดดเด่นเหนือล้ำกว่าผู้ใด ทว่าในตอนนี้กู่หลานได้เสียคุณสมบัติในการสืบทอดเหล่านั้นแล้วทั้งสิ้น เพราะครึ่งล่างของนางใช้การไม่ได้โดยกะทันหัน ตามธรรมเนียมกู่เป่ยจึงมีสิทธ์เป็นผู้สืบทอดเป็นลำดับที่สอง เหตุเนื่องการบ่มเพาะของเขากับกู่หลานมีสภาพใกล้เคียงกันมากที่สุด

ข้าแค่มาที่นี่เพราะต้องการหินจิตวิญญาณหนึ่งพันก้อนจากภารกิจเท่านั้นเนี้ยหลี่ระบายยิ้มบางเบา ก่อนจะจับจ้องไปที่กู่เป่ยและกล่าวต่ออย่างจริงจังว่า  สถานที่แห่งนี้ข้าคิดว่ามันไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ยิ่งหากมีผู้อื่นล่วงรู้ว่าข้าสามารถรักษาอาการพี่สาวของเจ้าได้ พวกมันต้องหาวิธีจัดการพี่ของเจ้าอีกครั้งเป็นแน่

ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าอย่าได้เป็นกังวลกู่หลานเข้าใจสิ่งที่เนี้ยหลี่พยายามจะสื่อดี นางจึงกล่าวกับเขาต่อว่า" หลังจากที่ข้าประสบปัญหาครั้งนี้ ทำให้ข้าตระหนักขึ้นมาได้ว่ามีคนในตระกูลจ้องจะเอาชีวิตของข้า หากคุณชายสามารถรักษาพิษร้ายที่ข้าได้รับ ข้าจะปกปิดทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ และจะพยายามให้โลกภายนอกรับรู้ว่าตัวข้านั้นยังคงพิการเฉกเช่นเดิม

แม้ว่าเนี้ยหลี่จะเป็นเพียงบุรุษหนุ่มอายุน้อยกว่ากู่เป่ย แต่ด้วยความสามารถที่แสดงออกมา ทำให้กู่หลานอดไม่ได้ที่จะชื่นชมอยู่ภายในใจ

เมื่อได้ยินสิ่งที่หญิงสาวกล่าว เนี่ยหลี่จึงพยักหน้าเป็นทำนองเข้าใจ กู่หลานแท้จริงแล้วนางเป็นคนที่ฉลาดไม่เบา

จากที่ข้ามองดูด้วยสายตาแล้ว ร่างกายของเจ้าคงได้รับพิษมาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า3ปี ข้ากลัวว่าถ้าจ่ายยาหนักให้ ชีพจรของเจ้าจะเสียหาย ทำให้การรักษามีความยุ่งยากขึ้นมากกว่าเดิม ฉะนั้นข้าจะเขียนใบสั่งยาชนิดอื่นก่อน หากพิษในร่างกายของเจ้าเจือจางลงแล้ว ข้าจะค่อยๆรักษาเจ้าจนกว่าจะหายขาดเนี้ยหลีกล่าวพร้อมกับดึงกระดาษและปากกาออกมาจากแหวนมิติ ก่อนจะลงมือเขียนใบสั่งยาให้แก่กู่เป่ย

กู่เป่ยรับใบสั่งยาและเก็บเอาไว้ราวกับสมบัติล้ำค่า ข้าจะรีบหาสมุนไพรเหล่านี้ให้เร็วที่สุด

ตั้งแต่กู่หลานล่มป่วยลง ภายในบ้านของเขาจึงมีนักปรุงยาและสมุนไพรอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย กู่เป่ยรีบเรียกพวกเขามาอย่างร้อนรน

หลู่เปียวกระซิบถามเนี้ยหลี่ด้วยน้ำเสียงบางเบา เนี้ยหลี่เจ้ามั่นใจเกี่ยวกับอาการของนางหรือ?”

ตั้งแต่ที่ข้ารู้สาเหตุของอาการป่วยของนาง ข้าก็มั่นใจแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เนี้ยหลี่เงยหน้าพลางส่งยิ้มให้แก่กู่หลาน หากสำรวจดีๆแล้วกู่หลานนางมีอายุ สิบแปด สิบเก้าปีเท่านั้น หากนางไม่ล้มป่วย นางคงเป็นหญิงงามที่บุรุษทุกคนชมชอบ แต่ถึงจะงดงามเช่นไรแล้ว เนี้ยหลี่ก็ทำได้แค่เพียงชื่นชมเท่านั้น

ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยชีวิตของข้าไว้กู่หลานกล่าวอย่างสุภาพ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง

 “แม่นางกู่ เจ้าอย่าได้สุภาพกับข้าเลย มันเป็นเรื่องปกติสำหรับข้าที่ต้องช่วยเหลือผู้คนอยู่แล้วเนี้ยหลี่กล่าวพลางอมยิ้มเล็ก ๆ

กู่หลานพยักหน้าในขณะที่นางนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามบุรุษตรงหน้า ข้าแปลกใจยิ่งนัก เจ้ามาจากสถานที่แห่งใดกัน

โลกใบเล็กน่ะเนี้ยหลี่ให้คำตอบ

เจ้ามาจากโลกใบเล็กอย่างนั้นหรือเสียงของกู่หลานเงียบอยู่พักใหญ่ก่อนที่นางจะกล่าวต่อว่า เมื่อตอนที่ยังเยาว์วัย ข้าเองก็เคยมีอาจารย์ที่มาจากโลกเล็กเหมือนเจ้าเช่นกัน

เนี้ยหลี่อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ ข้าสงสัยเหลือเกินว่าอาจารย์ของเจ้ามีนามว่าอะไร

อาจารย์ของข้า ไม่เคยเปิดเผยชื่อแซ่ที่แท้จริงมาก่อน อยู่ๆเขาก็หายไปโดยไม่บอกลาข้าแม้สักถ้อยคำ ทุกวันนี้ข้าก็ได้แต่หวังว่าเขาจะกลับมาพบข้าในสักวันกู่หลานระบายยิ้มอย่างข่มขื่น อาจารย์ของข้าไม่ได้แสดงตนออกมาห้าปีแล้ว หากเขายังอยู่ ข้าอาจจะมิได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เป็นได้   เอาเถอะ พูดไปก็หาได้อะไรขึ้นมา ใช่สิอาจารย์ของข้านั้นมีการบ่มเพาะพลังที่สูงไม่น้อย เขาอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ 5 เชียวนะ

เนี้ยหลี่อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เขาไม่รู้มาก่อนว่าคนที่มาจากโลกใบเล็ก จะมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้ แม้ว่าจะน่าเสียดายที่กู่หลานจะไม่ทราบนามของอาจารย์ของนาง แต่อย่างไรแล้วตอนนี้เรื่องนั้นยังไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรที่ต้องเก็บเอามาขบคิดให้มากความ

ในระหว่างที่เนี้ยหลี่และกู่หลานคุยกันอยู่นั้น กู่เป่ยรีบกลับมาพร้อมกับชามใบใหญ่ที่ข้างในเต็มไปด้วยตัวยาสมุนไพรที่ส่งควันลอยฉุยออกมา

นี่คือยาต้มที่ข้าได้จัดหามา เจ้าพี่ได้โปรดลองดื่มดูกู่เป่ยส่งชามสมุนไพรให้แก่กู่หลาน

หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะยกซดสมุนไพรด้วยสีหน้าราบเรียบตามฉบับนิสัยของนาง

หลังจากดื่มยาเข้าไปแล้ว คิ้วคู่สวยขมวดมุ่น นางหลับตาลง พร้อมสำรวจการเปลี่ยนแปลงของขอบเขตจิตวิญญาณ

สายตาของกู่เป่ยจับจ้องไปที่กู่หลานอย่างใจจดใจจ่อ หลู่เปียวเองก็จ้องตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งผิดกับเนี้ยหลี่ที่สีหน้าของเขามีความมั่นใจอย่างออกนอกหน้า

ผ่านไปครู่ใหญ่นัยน์ตาคู่งามของกู่หลานได้ลืมขึ้นก่อนจะมองไปที่เนี่ยหลี่ด้วยแววตาตื่นตระหนก ริมฝีปากบางซีดสั่นเล็กน้อย พร้อมกล่าวว่า ยาตัวนี้สามารถบรรเทาพิษในร่างกายของข้าได้ ข้ารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเส้นชีพจร ขอบพระคุณเจ้ามาก สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้

สีหน้าของหญิงสาวไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก นางคิดไม่ถึงว่ายาจะให้ผลรวดเร็วถึงเพียงนี้ มันช่างมหัศจรรย์โดยแท้

ไม่เป็นไรหรอก ข้าช่วยเจ้าอย่างเต็มใจเนี้ยหลี่ยิ้มเล็กน้อย แม่นางกู่หลาน เจ้าควรกินยาที่ข้าจัดไว้ให้ตลอดหนึ่งเดือน หลังจากกินหมดแล้ว ข้าจะเปลี่ยนยาชุดใหม่ให้แก่เจ้าอีกรอบ ข้าเอาหัวเป็นประกัน เจ้าจะต้องหายอย่างแน่นอน

กู่เป่ยรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดไม่ถึงว่ายาที่เนี้ยหลี่ให้มาจะเห็นผลได้รวดเเร็วถึงเพียงนี้ ตราบใดที่เนี้ยหลี่ยังสามารถรักษากู่หลานได้ ไม่ว่าไรเขาก็พร้อมจะเสียสละทุกอย่าง

เนี้ยหลี่ นี่คือรางวัลสำหรับการที่ช่วยพี่สาวของข้า หากเจ้าต้องการสิ่งใดในอนาคต ถ้าข้าสามารถช่วยเจ้า ข้าจะช่วยเต็มที่!

กู่เป่ยพูดในขณะที่เขาเอามือตบเข้าที่หน้าอกเบาๆ เขาหยิบแหวนมิติซึ่งข้างในเต็มไปด้วยหินจิตวิญญาณ ส่งไปให้เนี้ยหลี่

เนี้ยหลี่รับแหวนมา ในนี้มีหินจิตวิญญาณอยู่ราวๆ1500ก้อน กู่เป่ยช่างล่ำซำเสียจริง

กู่เป่ยและพี่สาวของเขาเป็นผู้สืบทอดโดยตรงของตระกูล กู่ แม้ว่าเขาจะไม่อยู่ในเส้นทางนี้โดยตรง แต่หินจิตวิญญาณจำนวนขนาดนี้คนทั่วไปไม่สามารถหาได้แน่นอน

อย่างไรก็ตามหินจิตวิญญาณจำนวน1500 ก้อน ที่ได้รับมานั้น ซึ่งหินจิตวิญญาณนั้นเป็นทรัพยากรที่หายากมาก และกู่เป่ยก็จำเป็นต้องใช้มันเป็นจำนวนมากในการบ่มเพาะพลังของเขา

เนี้ยหลี่ เอาหินจิตวิญญาณออกมาจากแหวนมิติ 500 ก้อน และส่งแหวนกลับคืนกู่เป่ย ในเนื้อหางานบอกไว้ว่ารางวัลคือหินจิตวิญญาณ 1000 ก้อนเท่านั้น ข้ายังไม่รักษาให้พี่สาวของเจ้าหายจากการอาการเจ็บป่วย ข้าขอรอจนกว่าอาการของพี่สาวเจ้าจะหายดี แล้วเจ้าค่อยเอาส่วนที่เหลือมาให้ข้า

กู่เป่ยรับแหวนมิติ และมองมาที่เนี้ยหลี่ด้วยสายตาซาบซึ้ง ไม่มีทางเลยที่หนี้บุญคุณนี้จะใช้หมด

เนี้ยหลี่ หลู่เปียว ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองก็เหมือนพี่น้องของข้ากู่เป่ยมองมาที่เนี้ยหลี่ และ หลู่เปียว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ให้ตายเถอะ จนถึงตอนนั้น เจ้าไม่ได้คิดว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันหรอกรึ!!หลู่เปียวกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

ข้าไม่ได้หมายความเยี่ยงนั้นกู่เป่ยรีบอธิบาย

ขณะที่กู่หลานกำลังเฝ้ามองบุรุษทั้งสาม กู่หลานอดไม่ได้ที่จะแย้มรอยยิ้ม นางไม่ได้พบความสุขแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว นางคิดเสมอว่าอาการป่วยของนางนั้นไม่สามารถที่จะรักษาหายได้ ดังนั้น นางจึงไม่ค่อยเปิดใจให้แก่ผู้อื่น

จนกระทั่งวันนี้ นางไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบแสงแห่งความหวังในชีวิตของนางอีกครั้ง

กู่เป่ยดูแลพี่สาวของเจ้าให้ดีล่ะ พวกข้าขอตัวกลับก่อน ต่อไปนี้เจ้าต้องระวังยาพิษในอาหาร เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่? “เนี้ยหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาให้กู่เป่ยได้ยิน

อยู่ๆความคิดแปลกๆขึ้นในหัวของกู่เป่ย ในขณะที่เขาพยักหน้า ข้าเข้าใจแล้ว

ใครบางคนที่สามารถวางยากู่หลานลงในอาหารโดยที่พวกมันไม่ถูกจับ มันจะต้องเป็นคนใกล้ตัวแน่ๆ

เนี้ยหลี่และหลู่เปียวกล่าวคำล่ำลาก่อนจะเดินจากไป

กู่หลาน มองไปที่เนี้ยหลี่และหลู่เปียว จากนั้นนางได้เหลือบมองไปยัง กู่เป่ยพร้อมพูดว่า น้องชาย เจ้ารู้จักพวกเขาทั้งสองได้อย่างไร

พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของข้า ที่ชั้นเรียนอัจฉริยะ โดยเฉพาะเนี้ยหลี่เขามีรากจิตวิญญาณสวรรค์ระดับ 8 ” กู่เป่ยรีบกล่าวต่อว่า ข้าไม่นึกเลยว่าเนี้ยหลี่จะมี ความสามารถมากถึงขนาดนี้ ทั้งที่เหล่าบรรดาหมออาวุโสไม่สามารถหาสาเหตุอาการป่วยของเจ้าได้ แต่เนี้ยหลี่กลับสามารถทำได้ราวกับปาฏิหาริย์ นับว่าเป็นบุคคลที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

หืม? รากวิญญาณสวรรค์ระดับ 8 ” ดวงตาของกู่หลานเปร่งประกาย นางไม่คิดว่าเนี้ยหลี่จะมีพรสวรรค์สูงจนน่าหวาดหวั่น ไม่ว่าจะความรู้ทางด้านการแพทย์ หรือความรู้เรื่องสมุนไพร ล้วนน่าทึ่ง นางอยากรู้ยิ่งนักว่าในอนาคตเนี้ยหลี่จะไปได้ไกลถึงจุดไหน

ในระหว่างที่กำลังเดินทางกลับ หลู่เปียวเอ่ยถามอย่างสงสัย เนี้ยหลี่ พวกเขามอบจิตวิญญาณให้ตั้งมากมายขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่เอามันมาทั้งหมด?”

วิญญูชน ต้องรับมาแต่พอประมาณ กู่เป่ยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพี่สาวของเขา บรรดาหินจิตวิญญาณที่เขาให้มานั้น อาจจะเป็นทั้งหมดของเขาก็เป็นได้ ฉะนั้นห้าร้อยหินจิตวิญญาณที่พวกเราได้มาก็เพียงพอสำหรับพวกเราแล้วเนี้ยหลี่ยิ้มบางๆ ก่อนหน้านี้เขาได้รับหินจิตวิญญาณมาจากเซียวหยู เขารับมันมาเล็กน้อย เพราะไม่อยากจะให้เซียวหยู่ติดหนี้บุญคุณมากนัก

และนั่นเป็นเหตุผลที่เนี้ยหลี่ไม่ได้เอาหินจิตวิญญาณทั้งหมดของกู่เป่ยมาเพราะว่าเขาต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกู่เป่ยและพี่สาวกู่หลาน

งั้นหรือหลู่เปียวพยักหน้าเป็นทำนองเข้าใจ เขาอาจจะรู้สึกว่า กู่เป่ย และ กู่หลาน เป็นคนที่ซื่อสัตย์และจริงใจ หากพวกเขาจะนำหินจิตวิญญาณทั้งหมด มันอาจจะไม่ดีเท่าใดนัก

หินจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่หายากไม่น้อย ถ้าเป็นศิษย์ของห้องเรียนรากจิตวิญญาณสวรรค์ซึ่งสามารถรับ หินวิญญาณ5ก้อนต่อเดือน แต่หินจิตวิญญาณที่เนี้ยหลี่ได้รับมา 500ก้อนนั้นก็เพียงพอต่อการบ่มเพาะพลังแล้ว



จบตอน
V.1 : https://www.facebook.com/groups/200491286989237/permalink/230516760653356/
แปลไทยโดย 
แล้วไงละ ถ้าใจอยากจะรัก
V.2: https://www.facebook.com/groups/200491286989237/permalink/230544827317216/
แปลไทยโดย
Wimut Pintong

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 273 - วางยาพิษ ?


บทที่ 273 - วางยาพิษ ?

ณ หอฝึกฝนจิตวิญญาณ

หลังจากได้กล่าวอำลากับกู่เป่ยแล้ว เนี้ยหลี่และหลู่เปียวก็เดินผ่านสถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้าไปถึงหอ
ฝึกฝนจิตวิญญาณ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการมอบหมายภารกิจโดยเหล่านักเรียนที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วจะต้องย้อนกลับมาเพื่อที่นี้เพื่อรับหินจิตวิญญาณ สิ่งประดิษฐ์ และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย

ด้วยจำนวนหินจิตวิญญาณที่ได้จากสถาบันในแต่ละเดือนนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นเนี้ยหลี่และหลู่เปียวจึงได้คิดวิธีที่จะหาช่องทางอื่นที่จะได้มันมา

ดินแดนซากมังกรเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจะโหดร้ายเป็นอย่างมาก บางแห่งในที่นี้มีการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรกันระหว่างเหล่าผู้เชี่ยวชาญโดยไม่คำนึงว่าผู้เข้าร่วมนั้นจะมีความสามารถสูงเพียงใด และมันคงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถยกระดับการบ่มเพาะจิตวิญญาณโดยปราศจากหินจิตวิญญาณเหล่านี้ ทางที่ดีที่สุดในการประสบผลสำเร็จนั้นจะต้องเข้าร่วมกับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หลังจากที่สาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อตระกูลเหล่านั้นแล้ว ตระกูลเหล่านั้นก็จะให้หินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากแก่คนนั้นและถือว่าเป็นคนหนึ่งในตระกูล

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ทางที่เนี้ยหลี่เลือกอย่างแน่นอน นอกเหนือจากการเข้าร่วมกับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง มันย่อมจะดีกว่าที่จะเลือกภารกิจที่ได้หินจิตวิญญาณเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่หอฝึกฝนจิตวิญญาณ

หอฝึกฝนจิตวิญญาณเต็มไปด้วยนักเรียนจากหลากหลายสาขาของสถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า และบนผนังล้วนเต็มไปด้วยโปสเตอร์ภารกิจ โดยแต่ละอันยังเต็มไปด้วยผู้คนที่ลงทะเบียนปฏิบัติงานนั้น ๆ

เนี้ยหลี่รีบตรวจสอบภารกิจที่ยังเปิดรับอยู่ บางคนก็ต้องการงานประเภทการล่า ถามถึงจิตวิญญาณอสูรหลาย ๆ ชนิดของสัตว์อสูร จิตอสูรที่มีอัตราการเจริญเติบโตระดับมหัศจรรย์จะมีอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณที่สูง ดังนั้นระดับความยากของภารกิจก็จะสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีภารกิจสำหรับการสร้างอาวุธ เก็บเกี่ยววัตถุดิบ หรืออื่น ๆ อีกมาก แต่มันไม่มีอะไรที่ทำได้โดยง่ายเลย

หลู่เปียวตรวจสอบดูภารกิจจำนวนมากและพบว่าไม่มีภารกิจที่เหมาะกับระดับของเขาเลย " ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากแล้วละ ที่จะได้รับหินจิตวิญญาณเพิ่ม "

แน่นอน นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ควบคุมทะเลสาบแห่งพระเจ้าอยู่ไม่กี่แห่ง และแต่ละทะเลสาบแห่งพระเจ้านั้นก็สามารถผลิตหินจิตวิญญาณหลายหมื่นก้อนสำหรับสมาชิกตระกูลสาขาภายในของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนั้นก็หมายความว่ามันก็อาจจะไม่เหลือสำหรับพวกเรา ” เนี้ยหลี่อธิบาย

การที่จะได้รับหินจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ ดังนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอะไรกันดี หลู่เปียวถามขึ้น

เนี้ยหลี่ชี้ไปที่ภารกิจบนผนังและพูดว่า พวกเราจะลองทำภารกิจนี้กัน

ภารกิจอะไร? หลู่เปียวหันไปมองดูใบประกาศที่เนี้ยหลี่ชี้

มีหญิงสาวของตระกูลกู่มีปัญหาในการบ่มเพาะจิตวิญญาณจนล้มป่วย ถ้าหากมีผู้ใดรอบรู้ในระดับเชี่ยวชาญหรือรอบรู้วิธีการที่สามารถรักษาพิษให้แม่นางที่เจ็บป่วยได้ จะได้รางวัลตอบแทนคือหินจิตวิญญาณจำนวน 1000 ก้อน

หลู่เปียวถึงกับพึมพำกับการอ่านหมายเหตุ หินจิตวิญญาณ 1000 ก้อน ตระกูลกู่นี้ดูท่าทางจะรวยจริง กู่เป่ย ดูเหมือนจะมาจากตระกูลกู่ด้วยเช่นกัน แต่เจ้าจะรับงานรักษาแม่นางที่เจ็บป่วยคนนี้จริงหรอ ในหมายเหตุมันกล่าวถึงว่าได้รับการรักษาของผู้รอบรู้จำนวนมากแต่แม่นางกู่หลานก็ยังไม่หาย ”

เนี้ยหลี่กลิ้งกลอกลูกตาให้หลู่เพียว แน่นอนข้าจะไปรักษาอาการเจ็บป่วยให้แม่นางคนนั้น การรักษาชีวิตใครบางคนได้นั้นย่อมดีกว่าหารสร้างเจดีย์ 7 ชั้นเสียอีก เจ้าเข้าใจไหม!!! ” 


เนี้ยหลี่มั่นใจมากว่าเขาสามารถใช้เทคนิคเต๋าหยินรักษาได้

ถ้าเจ้ารักษานางได้และได้รับหินจิตวิญญาณในเวลาเดียวกัน มันก็เป็นความคิดที่ไม่เลว หลู่เปียวลูบคางของเขาด้วยมือขวาก่อนพูดว่าอีกว่า อีกอย่างเจ้ากู่เป่ยก็เป็นคนดี เขาคงจะเลี้ยงต้อนรับเราอย่างดีแน่นอน ”

ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเนี้ยหลี่ ตระหนักถึงการมีอยู่ของกู่หลาน นางเป็นพี่สาวผู้อาวุโสและยังลึกลับอีกด้วย ข่าวลือว่าเมื่อนางยังเป็นสาวนั้น นางได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากการบ่มเพาะพลังและถูกทิ้งไว้กับรถเข็นโดยเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป นอกจากนี้นางยังไม่สามารถบ่มเพาะใด ๆ ได้เลยถึงแม้มันจะเหมาะสมแต่ก็ยังเป็นอุปสรรคสำหรับเธอ อย่างไรก็ดีเธอก็สามารถมีชีวิตของเธอได้อีก 200 ปี

แล้วข่าวลือยังบอกอีกว่ากู่หลานเป็นหนึ่งที่แนะนำอาจารย์ให้กู่เป่ยเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ทางสายกระบี่ และเป็นเหตุผลที่ทำให้กู่เป่ยสามารถบรรลุจุดสูงสุดทางกระบี่ได้ (ปรมาจารย์กระบี่นั้นเอง) ในชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ เนี้ยหลี่ได้ยินตำนานจำนวนมากเกี่ยวกับกู่หลานตลอดที่เขาอยู่ดินแดนซากมังกร เรื่องนี้ยังมีหมายเหตุไว้ด้วยมันจึงไม่น่าจะใช่กับดัก และไม่น่าจะอันตรายจึงทำให้น่าทดลอง

หลู่เปียวชี้ไปยังหมายเหตุหลายจุดที่ติดไว้บนผนังและกล่าวว่า เนี้ยหลี่ ถ้าเจ้ามั่นใจในเทคนิคการรักษาก็ควรดูตรงนี้ มันมีคนเขียนแปะไว้อย่างน้อยที่สุดเท่าที่เห็นก็น่าจะไม่กี่ร้อยแผ่น มันเกี่ยวกับคนที่เกิดอุบัติเหตุจากการบ่มเพาะถ้าเจ้ารักษาสิ่งที่เกิดจากการบ่มเพาะได้ทั้งหมด สิ่งนั้นมันก็หมายความว่าพวกเราจะมีหินจิตวิญญาณอย่างน้อย ๆ ก็กว่าหมื่นก้อน

เมื่อได้ยินคำพูดของหลู่เปียว เนี้ยหลี่ฝืนยิ้มและพูดว่า เจ้าจะให้ข้าทำงานจนตายเลยใช่ไหม นี้ยังไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแสนจะยุ่งยากที่จะตามมาอีก และตอนนี้ข้าจะต้องระมัดระวังไว้ ถ้ากู่เป่ยดูเหมือนจะมีลับลมคมในแล้วละก็ ข้าก็ไม่ต้องการที่จะแสดงทักษะใด ๆ ออกไปเพื่อจะได้รับความเสี่ยงในการดึงดูดคนที่เราไม่ต้องการเข้ามาแน่ ”

เราค่อยคุยเรื่องนี้ที่หลัง เมื่อเจ้าสามารถรักษาอาการของนางได้เสียก่อน หลู่เปียวพูดและอมยิ้ม พร้อมนี้ได้ดูที่อยู่ที่ทิ้งบนหมายเหตุ

ระหว่างทางเนี้ยหลี่ระมัดระวังเกี่ยวกับการรวบรวมความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวกับนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตก่อน ภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ มีตระกูลหลัก ๆ ประมาณ 3 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลตราประทับมังกร ตระกูลกู่ และตระกูลเถ้าอัคคี แต่ก็ยังมีจินแยนจากตระกูลจินที่อยู่มายาวนาน เหยียนเฮ่าจากตระกูลเหยียน เป็นตระกูลระดับล่างจาก 3 ตระกูลหลัก

เนี้ยหลี่ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการรักษากู่หลาน นอกจากรางวัลที่เป็นหินจิตวิญญาณ 1000 ก้อน มันจะยังช่วยในการปูทางให้เนี้ยหลี่และหลู่เปียว ถ้าพวกเขารักษานางได้ เมื่อนั้นพวกเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลนี้ หรืออย่างน้อยก็กับกู่เป่ย

เนี้ยหลี่เดินตามที่อยู่ที่ระบุในหมายเหตุจนมาถึงยังลานกว้างในพื้นที่ทางใต้ของสถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า
นี้คือที่กู่เป่ยและกู่หลานอาศัยอยู่ เป็นเพียงหนึ่งในหลายส่วนของพื้นที่ตระกูล ประตูขนาดใหญ่ถูกปิดแน่นหนาเหลือเพียงประตูทางเข้าด้านข้างที่เปิดออก นอกจากนั้นยังมีผู้รับใช้ที่เป็นยามสองคนยืนเฝ้าประตูไว้

หนึ่งในผู้รับใช้ถาม ไม่ทราบพวกเจ้ากำลังมองหาอะไร
 
เนี้ยหลี่ตอบ พวกเราเห็นจากภารกิจที่ติดอยู่ในหอฝึกฝนเลยมายังที่นี่เพื่อรักษาให้แม่นางที่ป่วยอยู่

ผู้รับใช้ตรวจดูเนี้ยหลี่อย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็โบกมือก่อนจะพูดว่า มันจะดีมากถ้าเจ้าออกไปจากที่นี้โดยเร็ว

แม่นางได้รับการรักษาแล้วใช่ไหม เนี้ยหลี่ถามเพราะอยากรู้

แม่นางได้รับการตรวจสอบจากผู้รอบรู้หลายคน บางคนมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษแต่ก็ยังไม่สามารถรักษาได้  เมื่อเร็ว ๆ นี้ จำนวนผู้รอบรู้ที่มาตรวจสอบแม่นางแล้วจำนวนหลายร้อยหรือหลายพันคน แต่ก็ไม่มีคนใดเลยที่สามารถช่วยนางได้ หนึ่งในผู้รับใช้พูด

เนี้ยหลี่ขมวดคิ้วของเขา แม่นางยังต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์อยู่ ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีความรู้ความสามารถเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้ข้าดูอาการก่อน ท่านจะรับผิดชอบไหมต่อการรักษาของนางไหม

เหล่าคนรับใช้ไม่คิดว่าเนี้ยหลี่จะเอาแต่ใจมากขนาดนี้และยังคงลังเลอยู่สักพักว่าจะพาเนี่ยหลี่เข้าไปดีหรือไม่
ทันไดนั้นก็ปรากฏว่ามีคนคนหนึ่งเดินออกมา คน ๆ นั้นคือ กู่เป่ย

มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ กู่เป่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขายกหัวและมองดูเนี้ยหลี่และหลู่เปียวถึงกับมึนไปช่วยขณะ อะไรที่ทำให้พวกเจ้ามาที่นี้กันหรือว่ามาหาข้า

หลู่เปียวหัวเราะขึ้นพร้อม ๆ ที่เนี้ยหลี่ตอบ พวกเราไม่ได้มาที่นี้เพื่อมาหาเจ้าหรอก พวกเราได้ยินว่าแม่นางกู่หลานแห่งตระกูลกู่นั้นมีอาการป่วยอยู่ พวกเราจึงแค่จะมาดูอาการว่าจะพอรักษาแม่นางได้หรือไม่

กู่เป่ยถึงกับคิ้วกระตุกขณะที่มองเนี้ยหลี่และหลู่เปียวด้วยความแปลกใจ ในขณะที่เขาถาม พวกท่านมีความรู้เรื่องตัวยาใช่ไหม

เนี้ยหลี่พยักหน้า ใช่ข้ามีความรู้เกี่ยวกับตัวยาเล็กน้อย

กู่เป่ยถึงกับเงียบไปชั่วขณะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อแต่เขาก็ยังพยักหน้าและพูด เข้ามาข้างในเถอะ

กู่เป่ยนำพวกเขาทั้งสองเข้ามา เมื่อเข้ามาภายในลานเป็นลานกว้างใหญ่มากภายในเป็นสวนขนาดใหญ่ และมีศาลาตั้งอยู่ มีแม้กระทั่งสะพานเล็ก ๆ ข้ามลำธารที่มีแม่น้ำไหลผ่าน มันเปรียบได้ดังกับสวนสวรรค์ แม้อากาศที่อยู่ข้างในนี้ก็ยังเป็นกลิ่นของดอกไม้บนสรวงสวรรค์

นางและข้า เป็นสาขาหลักของตระกูลกู่ ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นคนที่โดดเด่นมากในหมู่เด็ก ๆ รุ่นเดียวกัน แต่แล้วนางก็พบกับปัญหาระหว่างการบ่มเพาะพลังวิญญาณ ซึ่งนั้นทำให้นางเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงล่างเป็นลงไป ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไรหรือทำไมมันจึงเกิด เมื่อจบคำพูด ดวงตาของกู่เป่ยเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ

เนี้ยหลี่รู้สึกว่าน้ำเสียงของกู่เป่ยแผ่วเบา กู่หลานอาจจะเป็นเหยื่อของสงครามภายในตระกูลก็เป็นได้

หลู่เปียวคิดในใจถ้ากู่เป่ยและนางเป็นเพียงแค่สองคนในจำนวนมากจากตระกูลสาขาหลัก มันก็เท่ากับว่าตระกูลกู่ค่อนข้างกว้างใหญ่มากเลยที่เดียว

เนี้ยหลี่และหลู่เปียวเดินตามกู่เป่ยไปตามทางขนาดเล็กจนเข้าไปถึงลานขนาดเล็ก ภายในนั้นมีเด็กหญิงสวมเสื้อสีขาวนั่งเงียบ ๆ อยู่บนเก้าอี้ นางดูไม่มีความเป็นนักเรียน นางคล้ายกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วงและถูกตรึงไปด้วยความงามและใบหน้าของหน้าละเอียดเงางามคล้ายอัญมณี ด้วยการแสดงออกที่เงียบสงบนางจ้องมอง ดอกไม้สีม่วง บนสวนเนินเทียมขนาดเล็กด้วยความเงียบ นางมีริมฝีปากสีอ่อน ๆ เหมือนน้ำจาง ๆ ภายใต้เสื้อผ้านั้นผิวของเธอคล้ายหยกสดใส (ประมาณขาวเผือก) จุดสีคล้ำเป็นร่องรอยของอาการป่วยที่แสดงออกบนใบหน้า มันคล้ายกับดอกไม้ที่พร้อมเหี่ยวเฉาได้ตลอดเวลา

ความงามสุดท้ายที่ผ่านพ้นฤดูไม้ไม้ผลิ ดอกไม้เหี่ยวแห้งและคนตายโดยไม่รู้ตัว แม่นางที่สวมเสื้อสีขาวเริ่มพึมพำกับร่องรอยความเสียใจปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วนั้น

พี่สาว ประกายหยดน้ำตาของกู่เป่ยค่อย ๆ ไหลออกจากดวงตา ในขณะที่สายตาจับจ้องไปยังกู่หล่าน ครั้งหนึ่งพี่สาวผู้มีพลังวิญญาณที่โดดเด่น เป็นผู้ที่ได้รับการปฏิบัติดั่งเช่นเสาหลักในครอบครัว กู่เป่ยรู้สึกว่าหัวใจของเขาราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ 

กู่เป่ย เจ้าสบายดีนะ? แม่นางในชุดสีขาวเปิดเผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาของนางมองยังเบื้องหลังของ กู่เป่ย

นางถามขึ้น สองคนข้างหลังคือ.....

พวกเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนของข้า กู่เป่ยไม่กล้าบอกว่าเนี้ยหลี่มาที่นี้เพื่อตรวจสอบอาการของนาง เพราะเวลามีผู้รอบรู้เข้าเยี่ยม นางมักจะยิ้มและปฏิเสธมัน

โอ้ กู่หลานยิ้มและพยักหน้า ให้เนี้ยหลี่และหลู่เปียว

หลู่เปียวช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่สงสัยว่านางป่วยเป็นอะไร ผู้หญิงที่สวยงามแบบนี้ต้องอดทนจาก ความสวยงามของนางในช่วงแรกนั้นก่อนที่ชีวิตช่วงที่เหลือจะต้องลงเอยด้วยการนั่งเก้าอี้ มันช่างเหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งเสียจริง

เนี้ยหลี่มองไปยังกู่หลานด้วยการแสดงออกที่ระมัดระวัง กู่หลานสังเกตเห็นว่าเนี้ยหลี่จ้องมองนางและเธอก็เริ่มขมวดคิ้ว แต่เพราะพวกเขาเป็นเพื่อของกู่เป่ยนางจึงไม่พูดสิ่งใดออกมา

เนี้ยหลี่เจ้าเจออะไรไหม หลู่เปียวกระซิบถาม

นางไม่ได้ป่วย แต่นางมีสิ่งผิดปกติที่พลังวิญญาณของนาง อาจเป็นไปได้ว่านางจะถูกวางยาพิษ เนี้ยหลี่พูดด้วยเสียงไม่เบาหรือดังจนเกินไป เพียงแค่ให้กู่เป่ยและกู่หลานได้ยินเท่านั้น

หลังจากที่กู่เป่ยได้ยิน อารมณ์ขุ่นเคืองของเขาเริ่มถูกจุดด้วยคำพูดของเนี้ยหลี่ ที่พูดว่า นางถูกวางยาพิษ? เจ้ากำลังจะบอกว่านางโดนวางยาพิษอย่างนั้นหรือ? ”

เนี้ยหลี่พยักหน้า ถูกต้อง

กู่เป่ยถึงกับมึนงง มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ผู้รอบรู้จำนวนมากมาตรวจสอบนางก่อนหน้านี้ ถ้านางโดนวางยาพิษจริงพวกก็ต้องสังเกตุมันออกสิ จริงไหม?

กู่หลานซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง มันช่วยไม่ได้ที่นางจะจ้องมองไปยังเนี้ยหลี่ คนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้น่าจะอายุน้อยมากเป็นไปได้หรือที่เค้าจะเป็นผู้รอบรู้ ถ้านางโดนวางยาพิษนางจะต้องรู้สึกถึงมันแต่ทำไม่ถึงรู้สึกอะไรเลย






จบตอน
แปลไทยโดย
Attack On Tabchock

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 272 - ปรมาจารย์กู่เป่ย


บทที่ 272 - ปรมาจารย์กู่เป่ย

หลังจากที่ผู้อาวุโสฉีมู่ออกไปนักเรียนกลุ่มต่าง ๆ ก็ยืนขึ้น หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนได้เดินตรงเข้าหาทางที่เนี้ยหลี่และหลู่เปียวอยู่

นางได้จ้องมองไปที่เนี้ยหลี่แล้วถามว่า '' พวกเจ้ามาจากโลกใบเล็กหรือ? ''

เนี้ยหลี่มองไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วพยักหน้าลง '' ใช่แล้ว ''

ขณะที่เขาจ้องมองดูหลงยู่หยิน เขาเกิดความสงสัยว่า '' นางคนนี้มาจากที่ใดกัน? ทำไมเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับนางคนนี้อย่างบอกไม่ถูก? หรือว่าเราจะเคยเจอนางมาก่อนในชาติที่แล้ว?

'' พวกเจ้าคือคนที่มีรากจิตวิญญาณสวรรค์ระดับ 8 และระดับ 5 ที่มาจากโลกใบเล็กสินะ!? '' นางคนนั้นถามในขณะที่จ้องมองไปที่เนี้ยหลี่และหลู่เปียว

“ เจ้าจะมาเชิญพวกเราเพื่อไปเยี่ยมชมตระกูลของเจ้าเหมือนกับจินหยานอย่างนั้นหรือ?? คงอยากให้พวกเราเข้าร่วมกับเจ้าสินะ? ” ลักษณะที่จู้จี้ของผู้หญิงคนนี้มันอะไรกัน อย่างไรก็ตามการที่นางจ้องมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามมันทำให้หลู่เปียวไม่ชอบเอาเสียเลย

หญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนเหลือบมองไปที่หลู่เปียวและพูดใส่ว่า '' ถึงแม้ว่าความสามารถของเจ้าจะค่อนข้างดี แต่พวกเจ้าก็ยังมีความสามารถไม่มากพอที่จะได้รับการเชิญชวนจากตระกูลตราประทับมังกรของข้า ความสามารถของพวกเจ้านั้นก็แค่ดีต่อการบ่มพลังอยู่แค่ช่วงระดับหนึ่งเท่านั้น แม้คนที่ไร้ซึ่งความสามารถ แต่ถ้าตระกูลของข้าต้องการ ตระกูลของข้าก็สามารถที่จะทำให้เขาผู้นั้นเป็นดั่งอัจฉริยะได้ ”

ถ้อยคำของนางทำให้หลู่เปียวไม่ชอบใจเอาอย่างมาก เนี้ยหลี่มองไปที่หญิงสาวคนนั้นและตระหนักได้ขึ้นมาทันทีว่า หญิงสาวคนนี้คือคนที่มาจากตระกูลตราประทับมังกร!!

ตระกูลตราประทับมังกรเป็นตระกูลที่มีขนาดใหญ่อยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเป็น 1 ใน 3 ตระกูลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ในชีวิตก่อนหน้านี้เนี้ยหลี่ได้อยู่ที่ดินแดนซากมังกร เขาเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์เนื่องจากอาจารย์ของเขานั้นได้ดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามอาจารย์ของเขานั้นถูกฆ่าโดยผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลตราประทับมังกร ดังนั้นเนี้ยหลี่จึงรู้สึกค่อยไม่ชอบใจพวกเขามากนัก

อย่างไรก็ตามในชีวิตนี้อาจารย์ของเขานั้นควรจะต้องไม่ตาย ดังนั้นเนี้ยหลี่จะไม่ยอมปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นอีกอย่างแน่นอน!

หญิงสาวไม่หันกลับไปมองหลู่เปียวแต่ตอนนี้ดวงตาของนางมุ่งไปที่เนี้ยหลี่แทน มุมปากของนางยกขึ้นและพูดว่า '' วันนี้ขณะที่พวกเรากำลังทำการทดสอบเปลวเพลิงวิญญาณสถิตอยู่ เจ้าทำให้ข้ารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก หวังว่าครั้งต่อ ๆ ไปเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง ''

เมื่อพูดจบนางก็หันหลังกลับและเดินออกไป หลังที่สวยงามของนางหายไปทันที

หลู่เปียวถามเนี้ยหลี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า '' เนี้ยหลี่ นี่หมายความว่ายังไงกันนางเดินเข้ามาหาพวกเราเพียงเพื่อจะบอกว่าเจ้าว่า ' น่าสนใจ ' เนี่ยนะ? หรือว่านางต้องการที่จะอยากร่วมเตียงกับเจ้า? ''

จากคำพูดของหลู่เปียว เนี้ยหลี่อดที่จะกรอกตาไปมาและถอนหายใจออกมาไม่ได้ สมองของหลู่เปียวนี่มันกลวงขนาดไหนกันแน่?

หลังจากหลู่เปียวพูดเสร็จชายหนุ่มรูปงามได้เดินเข้าไปหาหลู่เปียวและพูดว่า '' เจ้ากำลังได้รับความสนใจจากหลงยู่หยินอยู่ แต่อย่างเพิ่งดีใจไปนัก เจ้าคิดว่านางคนนั้นกำลังสนใจในตัวเพื่อนเจ้างั้นหรือ? ไม่ทราบว่าเจ้ารู้หรือเปล่าว่านางนั้นเป็นคนที่อำมหิตและโหดเหี้ยมขนาดไหน? ''

'' คนอำมหิตงั้นหรือ? '' หลู่เปียวพยักหน้าในขณะที่เขาคิดว่า ' ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะนางมีบุคคลิกแบบนั้นตลอดเวลา'

'' ไม่ทราบว่าพวกเจ้าเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับหลงยู่หยินมาบ้างหรือเปล่า? ฮ่า ๆ พวกเจ้าที่มาจากโลกใบเล็กคงจะไม่ทราบเป็นแน่ หลงยู่หยินนั้นเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากมาก นางมาจากตระกูลตราประทับมังกร และมีข่าวลือมาว่านางคนนั้นได้สืบเชื้อสายของมังกร นั่นทำให้ร่างกายของนางนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งประดิษฐ์ระดับ 2 นั้นจะสามารถที่จะทำร้ายนางได้ 2 ปีที่แล้ว นางได้หมั้นหมายกับใครคนหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วระหว่างในการประลองยุทธ นางก็ได้ทำร้ายคู่หมั้นของนางจนไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตแบบคนแบบคนทั่วไปได้ '' ชายหนุ่มคนนั้นส่ายหัวในขณะที่เขาถอนหายใจ และพูดต่ออีกว่า '' คู่หมั้นของหลงยู่หยินนั้นมากจากตระกูลที่มีอำนาจ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงยังทนกับกับการกระทำเหล่านั้นได้ ผู้หญิงคนนั้นมันเป็นเหมือนดั่งปีศาจ มันจะเป็นเรื่องดีที่สุดที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนาง''

หลังจากที่ได้ฟังคำที่กล่าวมาของชายหนุ่มผู้นั้นทำให้หลู่เปียวรู้สึกไม่อยากที่จะยุ่งกับหญิงสาวผู้นั้นเลย


หญิงสาวที่สวมใส่เสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนคนนั้นคือหลงยู่หยิน? ดวงตาของเนี้ยหลี่หรี่ตาลงในทันทีในช่วงชีวิตที่แล้วของเขานั้น หลงยู่หยินนี่ล่ะคือคนที่ฆ่าอาจารย์ของเขา!!

ในชาติที่แล้วหลังจากที่เนี้ยหลี่มาถึงดินแดนซากมังกร หลงยู่หยินนั้นดูเป็นสาววัยรุ่นมาก ทั้งที่นางนั้นมีอายุมามากกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว ในตอนนั้นนางเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเทพสงครามขั้นที่ 3 และนางยังเป็นคนที่มีนิสัยอำมหิตและโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก

ไม่น่าแปลกใจนักเมื่อเขาเห็นนางแล้วรู้สึกคุ้นเคย เนี้ยหลี่ยังจำได้ว่าในชาติก่อนของเขานั้นหลงยู่หยินเป็นคนเป็นคนที่มีนิสัยที่โหดร้ายและขี้โมโห เนื่องจากนางเป็นผู้วางกฎของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ทำให้นางสามารถจะทำสิ่งใดก็ได้ภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์

ตอนนั้นนางดูเป็นเหมือนสาววัยรุ่นมากแต่ตอนนี้นางนั้นช่างดูเป็นเด็กยิ่งนัก ถึงแม้ว่านางจะดูคล้ายคลึงกับชาติที่แล้ว แต่มันก็ยังมีความแตกต่างอยู่ นั่นทำให้เขาจำนางไม่ได้ในทันทีที่เห็น ถึงแม้ว่าความเสียใจของเนี้ยหลี่ในชาติที่แล้วนั้นจะอยู่ลึกภายในจิตใจ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเกลียดตระกูลตราประทับมังกร

หลู่เปียวได้ยินจากที่ชายหนุ่มผู้นั้นเล่ามาจึงเกิดความสงสัยและชายหนุ่มผู้นั้นว่า '' เฮ้ แล้วเจ้าชื่ออะไรหรอ? ''

ชายหนุ่มผู้นั้นตอบกลับมาอย่างนุ่มนวลว่า '' เจ้าสามารถเรียกข้าว่าปรมาจารย์กู่เป่ย ''

'' ปรมาจารย์กู่เป่ย? '' หลู่เปียวหรี่ดวงตาของเขาลง ไอ้เด็กนี่มันอะไร! มันจะหลงตัวเองไปแล้วให้คนอื่นมาตัวเองว่า ปรมาจารย์กู่เป่ย แต่หลังจากที่หลู่เปียวนั้นได้มายังดินแดนซากมังกรแล้วมันทำให้เขารู้ว่าไม่ควรที่จะทำไม่ดีกับผู้อื่น เพราะบางทีเด็กคนนี้อาจจะมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา มันจะดีที่สุดที่ไม่ไปกวนตีนเขา

'' พี่ชายกู่เป่ย ขอบใจมากสำหรับคำแนะนำของเจ้าในวันนี้ '' หลังจากที่ได้ยิน ''ปรมาจารย์กู่เป่ย'' เนี้ยหลี่เคยได้ยินมาว่า เขานั้นเป็นคนที่ขี้เกียจที่ปรากฎตัวขึ้นในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่ได้อ่อนไปกว่าหยงยู่หยินเลย การดำรงอยู่ของเขาทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างเขาและนาง ทุก ๆ คนเรียกเขาว่าปรมาจารย์กู่เป่ย เป็นผู้สืบเชิ้อสายมาจากตระกูลกู่

หลงยู่หยินนั้นสืบเชื้อสายมาจากตระกูลตราประทับมังกร ความสามารถของนางนั้นสามารถที่จะไปสู่ระดับสูงสุดได้โดยไม่ยากเย็นนัก แต่อย่างไรก็ตามปรมารจารย์กู่เป่ยนั้นก็เป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างถ่องแท้ในเรื่องของการใช้กระบี่

'' สำหรับพวกเจ้าทั้งสอง ข้านั้นทราบชื่อของพวกเจ้าอยู่แล้ว เนี้ยหลี่ และหลู่เปียว '' ปรมาจารย์กู่เป่ย กล่าวขณะที่ยิ้มให้ทั้งสอง

'' เจ้ารู้จักพวกเราทั้งสองงั้นหรือ? '' หลู่เปียวรู้สึกตกใจเล็กน้อย

กู่เป่ยยิ้มและกล่าวว่า '' แน่นอน เจ้าทั้งสองเป็นที่รู้จักดีในเขตตะวันตก นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่รองรับเหล่าอัจฉริยะผู้ที่มีความสามารถระดับรากจิตวิญญาณสวรรค์โดยไม่คำนึงถึงสถานที่ที่คนเหล่านั้นจากมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อพวกเจ้าทั้งสองที่มีรากจิตวิญญาณสวรรค์ระดับ 8 กับระดับ 5 เลย ไม่แปลกใจเลยที่มีคนหลายให้ความสนใจและจับตาดูพวกเจ้าอยู่ ”

เนี้ยหลี่นั้นคิดอยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ตราบใดที่เขายังไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใดนั่นจะทำให้ไม่มีใครสามารถทำร้ายพวกเขาได้ ประการแรกนั้นเหล่าอัจฉริยะของสถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้าจะได้รับการปกป้องดูแลเป็นอย่างดี ประการที่สองไม่มีใครที่อยากจะขัดใจอัจฉริยะเหล่านี้หากไม่มีเหตุผลที่ดีพอ

'' แล้วเจ้าล่ะ '' หลู่เปียวมองที่ไปกู่เป่ย ด้วยความอยากรู้

กู่เป่ยหัวเราะ '' ฮ่า ๆ ข้าหรอ? ข้านั้นมีความสนใจตัวของหลงยู่หยิน และหลงยู่หยินนั้นสนใจพวกเจ้าทั้งสอง เพราะฉะนั้นข้าจึงมาดูเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเจ้านั้นเป็นอย่างไร ''

'' เป็นอย่างนี้นี่เอง เจ้าสนใจในตัวหลงยู่หยินนั่นเอง '' หลู่เปียวเข้าใจในทันที เขาเหลือบมองที่ไปเป้าของกู่เป่ย '' นั่นทำให้เจ้ารู้สึกเต้นตื่นสินะ หลงยู่หยินนั้นทำร้ายคู่หมั้นของตัวเอง แต่เจ้าก็ยังสนใจ นี่เจ้าเป็นพวกชอบความรุนแรงงั้นหรือ? ''

“ เฮ้ย เฮ้ย นี้เจ้ากำลังมองไปที่สิ่งใดกัน? ” กู่เป่ยพูดด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ '' ข้านั้นสนใจหลงยู่หยิน แต่ไม่ได้หมายความว่าข้านั้นเป็นพวกชื่นชอบความรุนแรงนะ ''

'' เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้เป็นพวกที่ชื่นชอบความรุนแรงน่ะ '' หลู่เปียวถามขณะที่เหลือบมองไปที่เป้าของกู่เป่ย

'' ไม่แน่นอน ข้าไม่ใช่แบบนั้น พวกเจ้าจะไปเจอหญิงที่สนใจแต่การเอาชนะเหมือนหลงยู่หยินได้ที่ไหน '' กู่เป่ย หัวเราะอย่างหื่นกาม '' นั่นเป็นหญิงในแบบที่ข้าต้องการที่สุด จริง ๆ แล้ว นางนั้นจะต้องเป็นคนที่ร้อนแรงเป็นอย่างมากแน่นอน ''

จากคำพูดของกู่เป่ย หลู่เปียวหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เขาก็เข้าไปโอบไหล่ของกู่เป่ยและพูดว่า '' แน่ใจนะ? ถ้าอย่างนั้นละก็ เราก็ควรจะหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้กันสักหน่อย ฮ่า ๆ ๆ ๆ ''

'' ถ้าอย่างนั้นเราก็เป็นพวกเดียวกันน่ะสินะ '' กู่เป่ยมองไปที่หลู่เปียวและคิดว่าได้พบกับเพื่อนใหม่ที่เข้าขากันได้ดี '' น้องหลู่ น่าเสียดายยิ่งนักที่ข้าไม่ได้พบกับเจ้าให้เร็วกว่านี้ ''

หลังจากที่เนี้ยหลี่เห็นพวกเขาหัวเราะอย่างหื่นกามกัน เขาก็ไม่สามารถที่จะออกอาการยิ้มแบบขมขึ่นได้ เขาไม่คิดว่าก่อนว่าหลู่เปียวกับกู่เป่ยนั้นจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี จากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่ามีคนแอบมองพวกเขาอยู่และแอบกระซิบกัน หนึ่งในนั้นคือหวังหยางที่มาจากอาณาจักรอนุสวรรค์ หวังหยางนั้นยืนอยู่กับพวกของเขา 5 คนรวมกันเป็นกลุ่ม

เนี้ยหลี่หรี่ตาลงพร้อมกับพูดกับหลู่เปียวและกู่เป่ยว่า '' ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุย พวกเราไปกันเถอะ ''

กู่เป่ยเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและหัวเราะออกมา '' ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ข้ามีที่ที่เหมาะสมที่จะคุยเรื่องราวดี ๆ กับน้องหลู่ ''

จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็เดินออกไปด้วยกัน หวังหยางมองกลุ่มของพวกเขาเดินจากไปและหันกลับมาหากลุ่มตัวเอง

'' พวกเขาออกไปกับกู่เป่ย อย่างนั้นมันก็ครบ 5 คนแล้วสิ สำหรับคนที่มีโอกาสที่จะไปสู่เขตตะวันออก หลงยู่หยิน จินแยน กู่เป่ย 3 คนนั้นย่อมได้ไปที่เขตตะวันออกโดยเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่อีก 2 คน ที่มีรากจิตวิญญาณสวรรค์ระดับ 8 และระดับ 5 นั้นเป็นคู่แข่งที่สำคัญมากสำหรับพวกเรา แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่กับกู่เป่ย นั่นทำให้พวกเรายากที่จะจัดการกับพวกนั้น '' หนึ่งในพวกนั้นกล่าว

หนึ่งในกลุ่มนี้มีคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีรากจิตวิญญาณสวรรค์ระดับ 5 มันจะเป็นประโยชน์หากพวกเขารวมตัวกันโดยในกลุ่มนี้มีหัวหน้าชื่อว่า ฮั่นจิง

ในทุก ๆ ปี จะมีการแข่งขันเกิดขึ้นใน 5 เขต พวกเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้พวกเขานั้นได้ไปสู่เขตตะวันออก พวกเขาต้องขัดขวางไม่ให้เนี้ยหลี่และหลู่เปียวแข็งแกร่งไปมากกว่านี้ หากเนี้ยหลี่และหลู่เปียวได้ไปสู่เขตตะวันออก พวกเขาเหล่านั้นจะต้องรอโอกาสอีกเป็นปีเลยทีเดียว นั่นคือสิ่งที่พวกเขาไม่เต็มใจจะยอมรับ

ถึงแม้ว่าเนี้ยหลี่และหลู่เปียวจะมีรากจิตวิญญาณสวรรค์ระดับ 8 และระดับ 5 แต่ระดับพลังในตอนนี้ของพวกเขานั้นยังไม่แข็งแกร่งมากนัก นั่นทำให้พวกเขานั้นง่ายต่อการจัดการ ไม่เหมือนจินแยน หลงยู่หยิน และกู่เป่ย พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับคนเหล่านั้นได้เลย

'' การที่พวกเขานั้นจะก้าวสู่ระดับพลังขั้นถัดไป พวกเขาจะต้องเขามาฝึกฝนที่บริเวณลานฝึก และเมื่อพวกเขาแยกกับกู่เป่ย นั่นแหละคือโอกาสของพวกเรา '' หวังหยางกล่าว

ฮั่นจิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า '' จริง ๆ แล้วภายใน 3 วันต่อจากนี้พวกเขานั้นจะต้องเข้ามาฝึกฝนที่บริเวณลานฝึก แต่ที่ลานฝึกนั้นมันมีทั้งหมด 3 ลาน ข้าคิดไม่ออกเลยว่าพวกเขาจะไปฝึกที่ลานไหนกัน ''

'' เดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบในการหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเอง ถ้าเมื่อไรที่ข้ารู้สถานที่ที่มันจะไป ข้าจะบอกให้พวกเจ้ารู้ในทันที '' หวังหยางกล่าว

โดยที่เขานั้นเป็นมือขวาของฮวาหลิง ทำให้เขาให้ความสนใจและเฝ้าระวังเกี่ยวกับตัวของเนี้ยหลี่และหลู่เปียวเป็นพิเศษ



จบตอน
แปลไทยโดย Kawin Liadprathom
https://www.facebook.com/groups/200491286989237/permalink/233096803728685/

บทที่ 271 - เปลวเพลิงวิญญาณสถิต


บทที่ 271 - เปลวเพลิงวิญญาณสถิต

"พวกเจ้าทุกคนจะพบกันที่นี่ทุกๆสามวันสำหรับการเรียนของข้า ข้าจะสอนเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังและชี้นำทางพวกเจ้าสู่ระดับต่อไป นอกจากนั้นแล้วที่สถาบันขนนกศักดิ์สิทธิ์ ของเรายังมี 3 สนามฝึกซ้อมข้าจะได้อธิบายตอนหลัง "ผู้อาวุโสฉีมู่ กล่าว.

ผู้อาวุโสฉีมู่ ได้อธิบายในรายละเอียด "สำหรับ ระดับดินแดนลิขิตปฐพีที่จะไปถึงลิขิตสวรรค์ขั้นที่หนึ่งพวกเจ้าต้องประสานพลังของพวกเจ้าเข้ากับพลังสวรรค์โดยการทำความเข้าใจศาสตร์แห่งสวรรค์ ทุกๆอย่างที่มีตัวตนระหว่างสวรรค์และโลกมีต้นกำเนิดเดียวกัน ทุกสิ่งเกิดจากพลังสวรรค์ที่เข้มข้น......"

ทุกคนต่างพากันฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่หลู่เปียว ยังพยายามที่จะเงี่ยหูขึ้นมาฟัง.

อย่างไรก็ตาม บทเรียนที่ ปรมาจารย์ฉีมู่ยังคงเป็นแค่ความรู้พื้นฐานเล็ก ๆ สำหรับเนี้ยหลี่เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ว่า ระดับดินแดนลิขิตปฐพีนั้นมีระดับพลังไม่ต่างจากระดับตำนาน แต่ระดับตำนานนั้นแยกออกเป็น 5 ขั้น ตอนนี้ เนี้ยหลี่อยู่ระดับตำนานขั้นที่ 3 ยังมีระยะห่างอยู่มากกว่าที่เขาจะไปถึงระดับลิขิตสวรรค์.

ก่อนที่เขาจะมาดินแดนซากมังกร อานุภาพแห่งกฏภายในร่างกาย เนี้ยหลี่ได้เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นพลังสวรรค์

พลังสวรรค์ นี้ก็คล้ายคลึงกับอานุภาพแห่งกฏ การแบ่งออกเป็นองค์ประกอบเช่น มิติเวลา เป็นต้น อย่างไรก็ตามพลังสวรรค์ เป็นพื้นฐานที่สุดของการใช้พลังงานทั้งหมด.

ในเวลาเดียวกัน, เนี้ยหลี่ได้ฝึก[เทคนิคเทพวีถีฟ้า]อย่างต่อเนื่อง ทำให้เถาวัลย์ในขอบเขตวิญญาณของเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนของผู้อาวุโสฉีมู่ กินเวลาราวสองชั่วโมงในขณะที่เขาค่อย ๆ พยายามเจาะลึกลงไปในหัวข้อนั้นมากขึ้น การอธิบายของเขาจนทำให้นักเรียนจำนวนมากเคลิ้มไปตามๆกัน (หลับ).

"เนี้ยหลี่ เราสามารถมีชีวิตมากขึ้นจริงๆรึ หลังจากการบ่มเพาะพลังไปถึงระดับลิขิตสวรรค์สวรรค์ขั้นที่ 2 หรือสูงกว่านั้น?" หลู่เปียวถามด้วยเสียงเบา คนเราจะตายหลายครั้งได้อย่างไร ?.

เนี้ยหลี่อธิบายว่า "จริงๆแล้วระดับลิขิตสวรรค์ขั้นที่ 2 และ 3 ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมี 2 หรือ 3 ชีวิต แต่หมายถึงขอบเขตวิญญาณของเจ้า สร้างดวงจิตเพิ่มขึ้นมา ซึ่งจะเก็บไว้ที่ไหนสักแห่ง ในที่ ๆ ปลอดภัย ตราบใดที่เจ้าไม่สูญเสียดวงจิตทั้งหมด เจ้าจะสามารถที่จะฟื้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพื้นที่ของการเกิดผลนั้น จะต้องไม่เกินกว่าหนึ่งพันไมล์จากที่เก็บดวงจิต ".

"อ้อ! ข้าเข้าใจแล้ว. ดังนั้นสิ่งที่เจ้ากำลังจะบอกก็คือว่า ข้าสามารถเก็บดวงจิตของข้าไว้ที่ไหนสักแห่งได้ และถ้าข้าตายแล้วข้าสามารถที่จะใช้ดวงจิต กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ? "

"ถูกต้อง เวลาที่เจ้าถูกฆ่าจะสูญเสียดวงจิต ตัวอย่างเช่นถ้าเจ้าอยู่ที่ระดับลิขิตสวรรค์ขั้นที่ 3 และโดนฆ่าเจ้าจะย้อนกลับมายังขั้นที่ 2 อีกครั้ง" เนี้ยหลี่กล่าวต่อว่า "เมื่อเจ้ามาถึงระดับลิขิตสวรรค์แล้ว ควรวางแผนล่วงหน้าเพื่อเก็บดวงจิตของเจ้าในที่ปลอดภัยก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่อันตรายภายนอก มิฉะนั้นถ้าเจ้าถูกฆ่าตายเจ้าจะไม่สามารถฟื้นคืนชีพอีกต่อไป. "

หลู่เปียว เข้าใจแนวคิดทันที ไม่น่าแปลกใจ สถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า มีกฎที่สำหรับผู้ที่เข้าถึงระดับลิขิตสวรรค์นั้น ถ้าจะออกไปโลกภายนอก ก่อนที่พวกเขาจะออกไปจำเป็นต้องวางดวงจิตในห้องโถงจิตวิญญาณภายในสถาบันก่อน เป็นไปได้ยากที่นักเรียนจะถูกฆ่าตายอย่างถาวร เว้นแต่ละเมิดกฎของสถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า.

หลังจากที่ทุกคนที่เข้ามาสู่สถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า ล้วนเป็นอัจฉริยะที่ออกจากอาณาจักรและเมืองต่าง ๆ ทั้งหมด การเสียชีวิตของคนใดคนหนึ่งนั้น จะเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่.

หวังหยาง ยืนจากระยะไกลและมองด้วยสายตาของเขามา เนี้ยหลี่และหลู่เปียวที่กำลังสนทนากัน รังสีอำมหิตในดวงตาของเขา ก่อนที่จะมาที่นี่ นายน้อยฮวาหลิงบอกว่าเขาให้จับตาดูเนี้ยหลี่และหลู่เปียวให้ดี. นอกจากนี้แล้ว เขายังแนะนำให้สั่งสอนทั้งสองเมื่อมีโอกาส

ภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ นักเรียนทุกคนล้วนมาจากตระกูลต่าง ๆ และได้จัดตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นเพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน พ่อของฮวาหลิง และพ่อของเซียวหยู พวกเขายังคงต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายนอก ในฐานะที่มาจากอาณาจักรเล็กๆ คำพูดของ ฮวาหลิงจึงสำคัญมาก.

ภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ จะพบผู้เชี่ยวชาญน้อยกว่าหนึ่งพันที่มาจากครอบครัวเล็ก ๆ ในดินแดนสวรรค์ ส่วนโลกใบเล็ก มีเพียงอาจารย์ของ เซียวหยู และ คนอื่นๆ อีกเล็กน้อย.

ความจริงที่ว่า เนี้ยหลี่มีรากวิญญาณสวรรค์ระดับ 8 และหลู่เปียวมีรากวิญญาณสวรรค์ระดับ 5 ซึ่งมากกว่าหวังหยาง.

แต่ไม่ว่าอย่างไร,เขาจะไม่มีทางที่จะยอมแพ้สองคนนี้เด็ดขาด ' หวังหยาง คิดกับตัวเองอย่างเย็นชา ในฐานะที่เขาเป็นคนจากดินแดนสวรรค์เขาย่อมมีทรัพยากรมากเกินกว่าที่ เนี้ยหลี่จะหาได้.

ผู้อาวุโสฉีมู่ บรรยายอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เขาดึงหัวข้อสรุปและกล่าวว่า "ถ้าข้าอธิบายมากเกินไปในครั้งเดียว เห็นที่พวกเจ้าอาจจะไม่สามารถที่เข้าใจได้ ดังนั้นข้าจะหยุดเพียงเท่านี่ก่อน ต่อไปบทเรียนของเราจะฝึกการบ่มเพาะพลัง สำหรับดินแดนลิขิตปฐพี ถ้าได้บางสิ่งจากการบ่มเพาะในตอนนี้ จะเป็นประโยชน์มากในอนาคต เมื่อพวกเจ้าฝึกฝนจนกระทั่งก้าวข้ามระดับลิขิตสวรรค์แล้ว อย่างไรก็ตาม อย่าได้ฝืนตัวเองมากเกินไป มันจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเจ้า. "

ดวงตาของหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อน, จินแยนและคนอื่นๆ มีรอยยิ้มแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของพวกเขา สิ่งเหล่านี้สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน.

ท่ามกลางอัจฉริยะ รากจิตวิญญาณสวรรค์ 36 คน มีเพียง 10 คนเท่านั้นที่มีความสามารถอยู่แล้ว ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ นอกจากนี้การบ่มเพาะพลังที่รวดเร็วมันจะยิ่งส่งผลต่ออนาคตที่ยาวไกล

"สิ่งแรกที่เราจะฝึกกันวันนี้ คือเปลวเพลิงวิญญาณสถิต!" ในขณะที่ผู้อาวุโสฉีมู่ เขาค่อยๆ เอื้อมมือข้างขวาของเขาออกมา ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น ได้เกิดเปลวเพลิงสีขาวจุดประกายในฝ่ามือของเขา และเขากล่าวต่อว่า "นี่คือเปลวเพลิงวิญญาณสถิต หากพวกเจ้าต้องการที่จะสร้างเปลวเพลิงวิญญาณสถิต พวกเจ้าจะต้องปล่อยให้ขอบเขตวิญญาณของพวกเจ้าเข้าถึงสภาวะอนัตตาแล้วรวบรวมความตั้งใจของพวกเจ้าลงบนฝ่ามือข้างขวา ... "

เปลวเพลิงสีขาวในมือของผู้อาวุโสฉีมู่ ได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้นจากขนาดเล็ก ๆ เท่าดอกตูมจนมีขนาดเท่ากำปั้น

"เปลวเพลิงวิญญาณสถิตที่แข็งแกร่งจะบ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าก้าวผ่านไปยังระดับลิขิตสวรรค์ จิตวิญญาณของพวกเจ้าจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”! " ผู้อาวุโสฉีมู่ยิ้มและกล่าวต่อว่า "เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าเริ่มลงมือได้,และพยายามให้เกิดเปลวเพลิงวิญญาณสถิต!!"

นักเรียนที่ยืนอยู่ด้านล่างเอื้อมมือออกไปทางขวามือของพวกเขา และพวกเขาพยายามรอบรวม พลังบนฝ่ามือ ในขณะที่พวกเขาพยายามที่จะสร้างเปลวเพลิงวิญญาณสถิต.

แม้ว่าเปลวเพลิงที่ผู้อาวุโสฉีมู่สร้างนั้นดูเหมือนง่าย แต่พวกเขาต่างพากันพบว่ามันไม่ง่ายเช่นนั้นเลย หลังจากที่พวกเขาพยายามมาประมาณครึ่งวันพวกเขายังคงไม่สามารถจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้ ทุกคนเริ่มปิดตาและคิ้วชนกันแล้วทำสมาธิเข้าสู่สภาวะอนัตตา.

ทันใดนั้น,มีเปลวเพลิงวิญญาณสถิตระเบิดออกมาบนฝ่ามือของหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่กำมือเล็กๆ แต่นางเป็นคนแรกที่สร้างเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้ นอกจากนี้ เปลวเพลิงวิญญาณสถิตมันยังค่อยๆใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นจนขนาดใหญ่เท่ากับเล็บมือ.
เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว, ผู้อาวุโสฉีมู่คิ้วกระตุก และร่องรอยของการชื่นชมเป็นประกายทั่วดวงตาของเขา 'อันที่จริงเธอเป็นทายาทสายตรงของตระกูลตราประทับมังกร ด้วยความสามารถของเธอที่โดดเด่น เมื่อคิดว่า ด้วยวัยแค่นี้,เธอก็สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตไขนาดเท่ากับเล็บมือได้แล้ว.

ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ต่อมา จินแยนก็สามารถทำให้เปลวเพลิงวิญญาณสถิตติดขึ้น แม้ว่ามันจะมีขนาดเท่าถั่ว แต่มันก็บริสุทธิ์มาก

"ไม่เลว. " ผู้อาวุโสฉีมู่ ยกย่องในขณะที่เขาพยักหน้า

หลังจากนั้นอีก มีนักเรียนสามคนก็สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิต หนึ่งในนั้นยังสามารถที่จะจุดเปลวเพลิงได้ขนาดของเท่าเล็บมือ ซึ่งเป็นความสามารถที่น่าอัศจรรย์มาก.

หลู่เปียว ได้พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะเข้าสู่สภาวะอนัตตา ที่ผู้อาวุโสฉีมู่ได้กล่าวถึง อย่างไรก็ตาม เขาเห็นเพียงภาพต่าง ๆ ผ่านไปไม่หยุด ผ่านหัวของเขา; เขาเห็นแต่เพียงภาพของเซียวเสว่อาบน้ำ เพราะภาพเหล่านั้นเขาไม่สามารถที่จะเข้าถึงสภาวะอนัตตาได้ ตอนนี้เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าทำไมการบ่มเพาะจิตวิญญาณช้าเสมอ "เพราะเขายังไม่สามารถที่จะตัดเรื่องราวต่างๆได้ เพราะเขายังไม่บรรลุในสิ่งที่เขาต้องการนั้นเอง! "

"เจ้าหมายถึง ความต้องการทางเพศใช่มั้ย?" เนี้ยหลี่หัวเราะในขณะที่เขายังคงบ่มเพาะต่อ "ผู้ที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์จะไม่สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้!"

หลู่เปียว ถอดหายใจ "มันมีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม ในเมื่อเจ้ายังมี นางฟ้าเอียจืออวิ้นด้านซ้าย และนางฟ้าเซี่ยวหนิงเอ๋อด้านขวา ข้าคิดว่าเจ้าก็ไม่ได้บริสุทธิ์ไปมากกว่าข้าหรอก "

เนี้ยหลี่ทำหน้าชิวๆ ในขณะที่เขาเอื้อมมือข้างขวาของเขาออกมา เปลวเพลิงวิญญาณสถิตจู่ ๆ ก็จุดประกายบนฝ่ามือขวาของเขาได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มขยายขึ้นเท่ากับขนาดของเล็บมือ

"อื้อหือ น่ากลัวเกินไปแล้ว!" หลู่เปียวถึงกับคอตก เนี้ยหลี่เจ้านี้ช่างน่าเตะยิ่งนัก.

ผู้อาวุโสฉีมู่ ถึงกับตกใจ สายตาของเขาจ้องไปที่เนี้ยหลี่แม้ว่า เนี้ยหลี่มีรากจิตวิญญาณสวรรค์ระดับ 8  เขาได้ตรวจสอบเบื้องหลังแล้ว เขามาจากโลกใบเล็กและไม่มีภูมิหลังสำคัญใด ๆ อยู่ข้างหลังเขาเลย.

แม้ว่าความสามารถเป็นสิ่งที่สำคัญในการบ่มเพาะพลัง ผู้ที่มีทรัพยากรไม่เพียงพอก็มีแต่ไร้ประโยชน์ เพราะมันจำเป็นมาก เพื่อที่จะเป็นการปูทางไปสู่ระดับเทพสงครามและจากระดับลิขิตสวรรค์ไปสู่ระดับแดนสวรรค์ก็จำเป็นที่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อที่จะบ่มเพาะพลัง.

ดังนั้นเขาไม่ได้ให้ความสนใจมากกับ เนี้ยหลี่หลังจากที่หลงยู่หยิน และจินแยนมาจากตระกูลที่มีอำนาจมาก และได้รับการบำรุงอย่างดีมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ร่างกายของพวกเขาได้รับการขัดเกลาด้วยสมุนไพรวิเศษซึ่งเป็นเหตุผลที่พวกเขาสามารถจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้อย่างรวดเร็ว และด้วยความเร็วของการบ่มเพาะมันย่อมเหนือกว่าเนี้ยหลี่อย่างแน่นอน.

แต่เขาไม่เคยคิดว่า เนี้ยหลี่จะสามารถจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นเปลวเพลิงวิญญาณสถิตของเขา ยังมีขนาดเท่าเล็บมือและไม่ได้ด้อยไปกว่าหลงยู่หยิน และจินแยน

นอกจากนี้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจนั้นก็คือ วิธีการที่แตกต่างจากคนอื่นๆที่ไม่จำเป็นที่ต้องปิดตาและทำสมาธิและนอกจากนี้เนี้ยหลี่นั้นยังสนทนากับหลู่เปียวอยู่ด้วย เมื่อเขายื่นมือออกมาก็สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้อย่างง่ายดาย มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเนี้ยหลี่นั้นเขาสู่สภาวะอนัตตาได้อย่างสมบูรณ์และเขาก็มีระดับการเข้าถึงที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก.

เขาไม่เคยคิดว่า จะมีอัจฉริยะที่โดดเด่นในหมู่นักเรียน 36 คน (เหนือฟ้ายังมีก้อนเมฆสินะ).

ผู้อาวุโสฉีมู่ จมกับอารมณ์และความตกใจอย่างเต็มที่ ในขณะที่เขามีความสนใจในตัวเนี้ยหลี่มันบ่งบอกได้ว่าเค้าคืออัจฉริยะแน่นอน ซึ่งควรได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี.

เนี้ยหลี่ก็เหลือบมองไปที่ ผู้อาวุโสฉีมู่ ในฐานะที่เป็นนักเรียนใหม่ที่ สถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า เนี้ยหลี่รู้ดีว่าเบื้องหลังเขาไม่มีผู้สนับสนุนมากนัก ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงให้เห็นถึงระดับความสามารถเพื่อที่จะให้เขาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ.

เนี้ยหลี่นั้น สร้างคลื่นที่โหมกระหน่ำต่อความชื่นชมต่อผู้อาวุโสฉีมู่ เนื่องจากความสามารถของเขานั้นปรากฏให้เห็นเหนือกว่าคนอื่นๆ.

ในหมู่นักเรียน 36 คน เพียง 5 คนเท่านั้นที่สามารถจุดเปลวเพบิววิญญาณสถิตขนาดเล็บมือ และมีเจ็ดคนสามารถที่จะจุดมันขึ้นได้ขนาดเท่ากับเม็ดถั่ว นักเรียนที่เหลือไม่สามารถจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเท่าใดก็ตาม

หวังหยางเป็นหนึ่งในนักเรียนที่เหลือ เขาได้ใช้ความพยามมากมายหลายวิธี แต่ฝ่ามือของเขาก็ยังสงบเช่นเดิมไม่มีร่องรอยของเปลวเพลิงวิญญาณสถิตเลย เพราะเหตุนี้เองทำให้เขาเสียใจเป็นอย่างมากเมื่อเขาเห็นว่าเนี้ยหลี่นั้นสามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้ จนเกือบจะระเบิดความโกรธออกมา.


"ไม่เลวๆ. บรรดาผู้ที่มีความสามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตในช่วงบทเรียนแรกนี้ทุกคนมีความตั้งใจที่บริสุทธิ์และมีความอัจฉริยะของแท้ เปลวเพลิงวิญญาณสถิตที่แข็งแกร่ง จะเป็นความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณแห่งชีวิต สำหรับผู้ที่ไม่สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้ กลับไปก็ฝึกฝนให้มากขึ้น บทเรียนสำหรับวันนี้ จบลงแต่เพียงเท่านี้! " ผู้อาวุโสฉีมู่ หัวเราะและกล่าวต่อว่า "พวกเราจะพบกันอีกในบทเรียนต่อไปในอีกสามวัน........"