บทที่ 271 - เปลวเพลิงวิญญาณสถิต
"พวกเจ้าทุกคนจะพบกันที่นี่ทุกๆสามวันสำหรับการเรียนของข้า
ข้าจะสอนเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังและชี้นำทางพวกเจ้าสู่ระดับต่อไป
นอกจากนั้นแล้วที่สถาบันขนนกศักดิ์สิทธิ์ ของเรายังมี 3
สนามฝึกซ้อมข้าจะได้อธิบายตอนหลัง "ผู้อาวุโสฉีมู่ กล่าว.
ผู้อาวุโสฉีมู่ ได้อธิบายในรายละเอียด "สำหรับ
ระดับดินแดนลิขิตปฐพีที่จะไปถึงลิขิตสวรรค์ขั้นที่หนึ่งพวกเจ้าต้องประสานพลังของพวกเจ้าเข้ากับพลังสวรรค์โดยการทำความเข้าใจศาสตร์แห่งสวรรค์
ทุกๆอย่างที่มีตัวตนระหว่างสวรรค์และโลกมีต้นกำเนิดเดียวกัน
ทุกสิ่งเกิดจากพลังสวรรค์ที่เข้มข้น......"
ทุกคนต่างพากันฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่หลู่เปียว
ยังพยายามที่จะเงี่ยหูขึ้นมาฟัง.
อย่างไรก็ตาม บทเรียนที่
ปรมาจารย์ฉีมู่ยังคงเป็นแค่ความรู้พื้นฐานเล็ก ๆ
สำหรับเนี้ยหลี่เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ว่า
ระดับดินแดนลิขิตปฐพีนั้นมีระดับพลังไม่ต่างจากระดับตำนาน
แต่ระดับตำนานนั้นแยกออกเป็น 5 ขั้น ตอนนี้ เนี้ยหลี่อยู่ระดับตำนานขั้นที่ 3 ยังมีระยะห่างอยู่มากกว่าที่เขาจะไปถึงระดับลิขิตสวรรค์.
ก่อนที่เขาจะมาดินแดนซากมังกร อานุภาพแห่งกฏภายในร่างกาย
เนี้ยหลี่ได้เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นพลังสวรรค์
พลังสวรรค์ นี้ก็คล้ายคลึงกับอานุภาพแห่งกฏ
การแบ่งออกเป็นองค์ประกอบเช่น มิติเวลา เป็นต้น อย่างไรก็ตามพลังสวรรค์
เป็นพื้นฐานที่สุดของการใช้พลังงานทั้งหมด.
ในเวลาเดียวกัน, เนี้ยหลี่ได้ฝึก[เทคนิคเทพวีถีฟ้า]อย่างต่อเนื่อง
ทำให้เถาวัลย์ในขอบเขตวิญญาณของเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บทเรียนของผู้อาวุโสฉีมู่ กินเวลาราวสองชั่วโมงในขณะที่เขาค่อย ๆ
พยายามเจาะลึกลงไปในหัวข้อนั้นมากขึ้น
การอธิบายของเขาจนทำให้นักเรียนจำนวนมากเคลิ้มไปตามๆกัน (หลับ).
"เนี้ยหลี่ เราสามารถมีชีวิตมากขึ้นจริงๆรึ
หลังจากการบ่มเพาะพลังไปถึงระดับลิขิตสวรรค์สวรรค์ขั้นที่ 2
หรือสูงกว่านั้น?" หลู่เปียวถามด้วยเสียงเบา
คนเราจะตายหลายครั้งได้อย่างไร ?.
เนี้ยหลี่อธิบายว่า "จริงๆแล้วระดับลิขิตสวรรค์ขั้นที่ 2 และ 3 ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมี 2 หรือ 3 ชีวิต แต่หมายถึงขอบเขตวิญญาณของเจ้า สร้างดวงจิตเพิ่มขึ้นมา ซึ่งจะเก็บไว้ที่ไหนสักแห่ง
ในที่ ๆ ปลอดภัย ตราบใดที่เจ้าไม่สูญเสียดวงจิตทั้งหมด
เจ้าจะสามารถที่จะฟื้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพื้นที่ของการเกิดผลนั้น
จะต้องไม่เกินกว่าหนึ่งพันไมล์จากที่เก็บดวงจิต ".
"อ้อ! ข้าเข้าใจแล้ว. ดังนั้นสิ่งที่เจ้ากำลังจะบอกก็คือว่า ข้าสามารถเก็บดวงจิตของข้าไว้ที่ไหนสักแห่งได้
และถ้าข้าตายแล้วข้าสามารถที่จะใช้ดวงจิต กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ?
"
"ถูกต้อง เวลาที่เจ้าถูกฆ่าจะสูญเสียดวงจิต
ตัวอย่างเช่นถ้าเจ้าอยู่ที่ระดับลิขิตสวรรค์ขั้นที่ 3
และโดนฆ่าเจ้าจะย้อนกลับมายังขั้นที่ 2 อีกครั้ง"
เนี้ยหลี่กล่าวต่อว่า "เมื่อเจ้ามาถึงระดับลิขิตสวรรค์แล้ว
ควรวางแผนล่วงหน้าเพื่อเก็บดวงจิตของเจ้าในที่ปลอดภัยก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่อันตรายภายนอก
มิฉะนั้นถ้าเจ้าถูกฆ่าตายเจ้าจะไม่สามารถฟื้นคืนชีพอีกต่อไป. "
หลู่เปียว เข้าใจแนวคิดทันที ไม่น่าแปลกใจ สถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า
มีกฎที่สำหรับผู้ที่เข้าถึงระดับลิขิตสวรรค์นั้น ถ้าจะออกไปโลกภายนอก
ก่อนที่พวกเขาจะออกไปจำเป็นต้องวางดวงจิตในห้องโถงจิตวิญญาณภายในสถาบันก่อน
เป็นไปได้ยากที่นักเรียนจะถูกฆ่าตายอย่างถาวร
เว้นแต่ละเมิดกฎของสถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า.
หลังจากที่ทุกคนที่เข้ามาสู่สถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า
ล้วนเป็นอัจฉริยะที่ออกจากอาณาจักรและเมืองต่าง ๆ ทั้งหมด
การเสียชีวิตของคนใดคนหนึ่งนั้น จะเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่.
หวังหยาง ยืนจากระยะไกลและมองด้วยสายตาของเขามา
เนี้ยหลี่และหลู่เปียวที่กำลังสนทนากัน รังสีอำมหิตในดวงตาของเขา
ก่อนที่จะมาที่นี่ นายน้อยฮวาหลิงบอกว่าเขาให้จับตาดูเนี้ยหลี่และหลู่เปียวให้ดี.
นอกจากนี้แล้ว เขายังแนะนำให้สั่งสอนทั้งสองเมื่อมีโอกาส
ภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ นักเรียนทุกคนล้วนมาจากตระกูลต่าง ๆ
และได้จัดตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นเพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน พ่อของฮวาหลิง
และพ่อของเซียวหยู พวกเขายังคงต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายนอก
ในฐานะที่มาจากอาณาจักรเล็กๆ คำพูดของ ฮวาหลิงจึงสำคัญมาก.
ภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
จะพบผู้เชี่ยวชาญน้อยกว่าหนึ่งพันที่มาจากครอบครัวเล็ก ๆ ในดินแดนสวรรค์
ส่วนโลกใบเล็ก มีเพียงอาจารย์ของ เซียวหยู และ คนอื่นๆ อีกเล็กน้อย.
ความจริงที่ว่า เนี้ยหลี่มีรากวิญญาณสวรรค์ระดับ 8
และหลู่เปียวมีรากวิญญาณสวรรค์ระดับ 5 ซึ่งมากกว่าหวังหยาง.
แต่ไม่ว่าอย่างไร,เขาจะไม่มีทางที่จะยอมแพ้สองคนนี้เด็ดขาด ' หวังหยาง คิดกับตัวเองอย่างเย็นชา
ในฐานะที่เขาเป็นคนจากดินแดนสวรรค์เขาย่อมมีทรัพยากรมากเกินกว่าที่
เนี้ยหลี่จะหาได้.
ผู้อาวุโสฉีมู่ บรรยายอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่เขาดึงหัวข้อสรุปและกล่าวว่า "ถ้าข้าอธิบายมากเกินไปในครั้งเดียว
เห็นที่พวกเจ้าอาจจะไม่สามารถที่เข้าใจได้ ดังนั้นข้าจะหยุดเพียงเท่านี่ก่อน
ต่อไปบทเรียนของเราจะฝึกการบ่มเพาะพลัง สำหรับดินแดนลิขิตปฐพี
ถ้าได้บางสิ่งจากการบ่มเพาะในตอนนี้ จะเป็นประโยชน์มากในอนาคต
เมื่อพวกเจ้าฝึกฝนจนกระทั่งก้าวข้ามระดับลิขิตสวรรค์แล้ว อย่างไรก็ตาม
อย่าได้ฝืนตัวเองมากเกินไป มันจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเจ้า. "
ดวงตาของหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อน, จินแยนและคนอื่นๆ
มีรอยยิ้มแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของพวกเขา
สิ่งเหล่านี้สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน.
ท่ามกลางอัจฉริยะ รากจิตวิญญาณสวรรค์ 36 คน มีเพียง 10 คนเท่านั้นที่มีความสามารถอยู่แล้ว ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
นอกจากนี้การบ่มเพาะพลังที่รวดเร็วมันจะยิ่งส่งผลต่ออนาคตที่ยาวไกล
"สิ่งแรกที่เราจะฝึกกันวันนี้ คือเปลวเพลิงวิญญาณสถิต!"
ในขณะที่ผู้อาวุโสฉีมู่ เขาค่อยๆ เอื้อมมือข้างขวาของเขาออกมา ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น
ได้เกิดเปลวเพลิงสีขาวจุดประกายในฝ่ามือของเขา และเขากล่าวต่อว่า
"นี่คือเปลวเพลิงวิญญาณสถิต หากพวกเจ้าต้องการที่จะสร้างเปลวเพลิงวิญญาณสถิต
พวกเจ้าจะต้องปล่อยให้ขอบเขตวิญญาณของพวกเจ้าเข้าถึงสภาวะอนัตตาแล้วรวบรวมความตั้งใจของพวกเจ้าลงบนฝ่ามือข้างขวา
... "
เปลวเพลิงสีขาวในมือของผู้อาวุโสฉีมู่ ได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้นจากขนาดเล็ก
ๆ เท่าดอกตูมจนมีขนาดเท่ากำปั้น
"เปลวเพลิงวิญญาณสถิตที่แข็งแกร่งจะบ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง
ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าก้าวผ่านไปยังระดับลิขิตสวรรค์ จิตวิญญาณของพวกเจ้าจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”!
" ผู้อาวุโสฉีมู่ยิ้มและกล่าวต่อว่า "เอาล่ะ
ตอนนี้พวกเจ้าเริ่มลงมือได้,และพยายามให้เกิดเปลวเพลิงวิญญาณสถิต!!"
นักเรียนที่ยืนอยู่ด้านล่างเอื้อมมือออกไปทางขวามือของพวกเขา
และพวกเขาพยายามรอบรวม พลังบนฝ่ามือ ในขณะที่พวกเขาพยายามที่จะสร้างเปลวเพลิงวิญญาณสถิต.
แม้ว่าเปลวเพลิงที่ผู้อาวุโสฉีมู่สร้างนั้นดูเหมือนง่าย
แต่พวกเขาต่างพากันพบว่ามันไม่ง่ายเช่นนั้นเลย
หลังจากที่พวกเขาพยายามมาประมาณครึ่งวันพวกเขายังคงไม่สามารถจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้
ทุกคนเริ่มปิดตาและคิ้วชนกันแล้วทำสมาธิเข้าสู่สภาวะอนัตตา.
ทันใดนั้น,มีเปลวเพลิงวิญญาณสถิตระเบิดออกมาบนฝ่ามือของหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อน
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่กำมือเล็กๆ แต่นางเป็นคนแรกที่สร้างเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้
นอกจากนี้ เปลวเพลิงวิญญาณสถิตมันยังค่อยๆใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นจนขนาดใหญ่เท่ากับเล็บมือ.
เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว, ผู้อาวุโสฉีมู่คิ้วกระตุก
และร่องรอยของการชื่นชมเป็นประกายทั่วดวงตาของเขา 'อันที่จริงเธอเป็นทายาทสายตรงของตระกูลตราประทับมังกร
ด้วยความสามารถของเธอที่โดดเด่น เมื่อคิดว่า ด้วยวัยแค่นี้,เธอก็สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตไขนาดเท่ากับเล็บมือได้แล้ว.
ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ต่อมา
จินแยนก็สามารถทำให้เปลวเพลิงวิญญาณสถิตติดขึ้น แม้ว่ามันจะมีขนาดเท่าถั่ว
แต่มันก็บริสุทธิ์มาก
"ไม่เลว. " ผู้อาวุโสฉีมู่ ยกย่องในขณะที่เขาพยักหน้า
หลังจากนั้นอีก มีนักเรียนสามคนก็สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิต
หนึ่งในนั้นยังสามารถที่จะจุดเปลวเพลิงได้ขนาดของเท่าเล็บมือ
ซึ่งเป็นความสามารถที่น่าอัศจรรย์มาก.
หลู่เปียว ได้พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะเข้าสู่สภาวะอนัตตา
ที่ผู้อาวุโสฉีมู่ได้กล่าวถึง อย่างไรก็ตาม เขาเห็นเพียงภาพต่าง ๆ ผ่านไปไม่หยุด
ผ่านหัวของเขา; เขาเห็นแต่เพียงภาพของเซียวเสว่อาบน้ำ
เพราะภาพเหล่านั้นเขาไม่สามารถที่จะเข้าถึงสภาวะอนัตตาได้
ตอนนี้เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าทำไมการบ่มเพาะจิตวิญญาณช้าเสมอ
"เพราะเขายังไม่สามารถที่จะตัดเรื่องราวต่างๆได้ เพราะเขายังไม่บรรลุในสิ่งที่เขาต้องการนั้นเอง!
"
"เจ้าหมายถึง ความต้องการทางเพศใช่มั้ย?" เนี้ยหลี่หัวเราะในขณะที่เขายังคงบ่มเพาะต่อ
"ผู้ที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์จะไม่สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้!"
หลู่เปียว ถอดหายใจ "มันมีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม ในเมื่อเจ้ายังมี
นางฟ้าเอียจืออวิ้นด้านซ้าย และนางฟ้าเซี่ยวหนิงเอ๋อด้านขวา
ข้าคิดว่าเจ้าก็ไม่ได้บริสุทธิ์ไปมากกว่าข้าหรอก "
เนี้ยหลี่ทำหน้าชิวๆ ในขณะที่เขาเอื้อมมือข้างขวาของเขาออกมา
เปลวเพลิงวิญญาณสถิตจู่ ๆ
ก็จุดประกายบนฝ่ามือขวาของเขาได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มขยายขึ้นเท่ากับขนาดของเล็บมือ
"อื้อหือ น่ากลัวเกินไปแล้ว!" หลู่เปียวถึงกับคอตก
เนี้ยหลี่เจ้านี้ช่างน่าเตะยิ่งนัก.
ผู้อาวุโสฉีมู่ ถึงกับตกใจ สายตาของเขาจ้องไปที่เนี้ยหลี่แม้ว่า
เนี้ยหลี่มีรากจิตวิญญาณสวรรค์ระดับ 8
เขาได้ตรวจสอบเบื้องหลังแล้ว เขามาจากโลกใบเล็กและไม่มีภูมิหลังสำคัญใด ๆ
อยู่ข้างหลังเขาเลย.
แม้ว่าความสามารถเป็นสิ่งที่สำคัญในการบ่มเพาะพลัง
ผู้ที่มีทรัพยากรไม่เพียงพอก็มีแต่ไร้ประโยชน์ เพราะมันจำเป็นมาก
เพื่อที่จะเป็นการปูทางไปสู่ระดับเทพสงครามและจากระดับลิขิตสวรรค์ไปสู่ระดับแดนสวรรค์ก็จำเป็นที่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อที่จะบ่มเพาะพลัง.
ดังนั้นเขาไม่ได้ให้ความสนใจมากกับ เนี้ยหลี่หลังจากที่หลงยู่หยิน
และจินแยนมาจากตระกูลที่มีอำนาจมาก
และได้รับการบำรุงอย่างดีมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก
ร่างกายของพวกเขาได้รับการขัดเกลาด้วยสมุนไพรวิเศษซึ่งเป็นเหตุผลที่พวกเขาสามารถจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้อย่างรวดเร็ว
และด้วยความเร็วของการบ่มเพาะมันย่อมเหนือกว่าเนี้ยหลี่อย่างแน่นอน.
แต่เขาไม่เคยคิดว่า
เนี้ยหลี่จะสามารถจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนั้นเปลวเพลิงวิญญาณสถิตของเขา ยังมีขนาดเท่าเล็บมือและไม่ได้ด้อยไปกว่าหลงยู่หยิน
และจินแยน
นอกจากนี้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจนั้นก็คือ
วิธีการที่แตกต่างจากคนอื่นๆที่ไม่จำเป็นที่ต้องปิดตาและทำสมาธิและนอกจากนี้เนี้ยหลี่นั้นยังสนทนากับหลู่เปียวอยู่ด้วย
เมื่อเขายื่นมือออกมาก็สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้อย่างง่ายดาย
มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเนี้ยหลี่นั้นเขาสู่สภาวะอนัตตาได้อย่างสมบูรณ์และเขาก็มีระดับการเข้าถึงที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก.
เขาไม่เคยคิดว่า จะมีอัจฉริยะที่โดดเด่นในหมู่นักเรียน 36 คน
(เหนือฟ้ายังมีก้อนเมฆสินะ).
ผู้อาวุโสฉีมู่ จมกับอารมณ์และความตกใจอย่างเต็มที่
ในขณะที่เขามีความสนใจในตัวเนี้ยหลี่มันบ่งบอกได้ว่าเค้าคืออัจฉริยะแน่นอน
ซึ่งควรได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี.
เนี้ยหลี่ก็เหลือบมองไปที่ ผู้อาวุโสฉีมู่
ในฐานะที่เป็นนักเรียนใหม่ที่ สถาบันจิตวิญญาณแห่งฟ้า เนี้ยหลี่รู้ดีว่าเบื้องหลังเขาไม่มีผู้สนับสนุนมากนัก
ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงให้เห็นถึงระดับความสามารถเพื่อที่จะให้เขาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ.
เนี้ยหลี่นั้น สร้างคลื่นที่โหมกระหน่ำต่อความชื่นชมต่อผู้อาวุโสฉีมู่
เนื่องจากความสามารถของเขานั้นปรากฏให้เห็นเหนือกว่าคนอื่นๆ.
ในหมู่นักเรียน 36 คน เพียง 5
คนเท่านั้นที่สามารถจุดเปลวเพบิววิญญาณสถิตขนาดเล็บมือ
และมีเจ็ดคนสามารถที่จะจุดมันขึ้นได้ขนาดเท่ากับเม็ดถั่ว
นักเรียนที่เหลือไม่สามารถจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้
ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเท่าใดก็ตาม
หวังหยางเป็นหนึ่งในนักเรียนที่เหลือ เขาได้ใช้ความพยามมากมายหลายวิธี
แต่ฝ่ามือของเขาก็ยังสงบเช่นเดิมไม่มีร่องรอยของเปลวเพลิงวิญญาณสถิตเลย
เพราะเหตุนี้เองทำให้เขาเสียใจเป็นอย่างมากเมื่อเขาเห็นว่าเนี้ยหลี่นั้นสามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้
จนเกือบจะระเบิดความโกรธออกมา.
"ไม่เลวๆ.
บรรดาผู้ที่มีความสามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตในช่วงบทเรียนแรกนี้ทุกคนมีความตั้งใจที่บริสุทธิ์และมีความอัจฉริยะของแท้
เปลวเพลิงวิญญาณสถิตที่แข็งแกร่ง จะเป็นความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณแห่งชีวิต
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถที่จะจุดเปลวเพลิงวิญญาณสถิตได้ กลับไปก็ฝึกฝนให้มากขึ้น
บทเรียนสำหรับวันนี้ จบลงแต่เพียงเท่านี้! " ผู้อาวุโสฉีมู่
หัวเราะและกล่าวต่อว่า
"พวกเราจะพบกันอีกในบทเรียนต่อไปในอีกสามวัน........"
ขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณครัช
ตอบลบขอบคุณครัช
ตอบลบThank you
ตอบลบขอบคุณครับขอบคุณครับขอบคุณครับขอบคุณครับขอบคุณครับ
ตอบลบแต้งกิ้วคร้าาบบบ
ตอบลบขอบคุณมากครับ
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณนะจ๊ะ
ตอบลบขอบคุณคับ
ตอบลบขอบคุนกับ
ตอบลบขอบคุณนะ
ตอบลบขอบคุณค๊าบ
ตอบลบขอบคุณที่แปลให้อ่านกันครับ เป็นกำลังใจ ให้ทีมแปลทุกคนครับ
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณครับรับเข้ากลุ้มหน่อยครับ FB.Nonthavat Kruemas
ตอบลบเหนือก้อนเมฆยังมีฟ้าป่าว
ตอบลบขอบคุนคัย
ตอบลบ