วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

บทที่ 199 - ร่องรอย



“พี่เทพธิดา...ท่านไม่ได้แกล้งหลอกข้าเล่นหรอกใช่มั้ย?” เนี้ยหลี่ถามพลางลอบถอนหายใจหลังจากเห็นว่าอุณหภูมิในตัวเขาเริ่มลดลงแล้ว ความรู้สึกก่อนหน้านี้มันช่างทรงพลังเสียจริง ทรงพลังจนขนาดทำให้เขารู้สึกกลัวได้เลย

“ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม? นี่คือวิธีที่พวกข้าใช้ฝึกสัมผัสอานุภาพแห่งกฎมาตั้งแต่กาลก่อนแล้ว” ยู่หยานขมวดคิ้วงุ่นพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเนี้ยหลี่เมื่อกี้นี้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะสัมผัสอานุภาพแห่งกฎไม่ได้? แต่ถึงจะสัมผัสไม่ได้ก็ไม่น่าจะทำให้เนี้ยหลี่รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนถูกเผาจนต้องกระโจนลงน้ำแบบนั้นนี่ ใช่มั้ย?

“ก็ได้ๆ” เนี้ยหลี่สะบัดมือไปมาก่อนจะเอ่ยอย่างเนือยๆว่า “ท่านบอกให้ข้าสัมผัสจุดแสงท่ามกลางความมืดใช่ไหม”

“ใช่” ยู่หยานพยักหน้ารับ “หากเจ้าคิดจะสัมผัสอานุภาพแห่งแสง เจ้าก็ต้องเริ่มจากทำแบบนั้นแหละ”

“ท่านบอกว่าจุดแสงเหรอ!” เนี้ยหลี่กล่าว

“ก็ใช่ไง!” ยู่หยานตอบกลับ วิธีที่นี้ไม่น่ามีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะในกาลก่อนที่เธอฝึกเธอก็ใช้วิธีคล้ายๆแบบนี้ในการสัมผัสอานุภาพแห่งอัคคี

“มันจะเป็นจุดแสงได้ยังไง? นั่นมันดวงอาทิตย์ชัดๆ ตาข้าเกือบบอดแหนะ แล้วอะไรนะ อบอุ่นเหรอ? 

ทว่าข้ากลับร้อนซะจนเกือบจะสุก! ช่างน่ากลัวยิ่งนัก...การบ่มเพาะอานุภาพแห่งกฎของท่านนี่มันช่างอันตรายเสียจริงๆ!” เนี้ยหลี่กล่าว ความตกใจกลัวยังหลงเหลืออยู่ในใจเขาอยู่เลย ความร้อนของดวงอาทิตย์นั้นเกือบจะทำให้เขาสุกทั้งนอก-ในเลยก็ว่าได้

ได้ยินที่เนี้ยหลี่กล่าว ยู่หยานก็เผลอแสดงสีหน้าประหลาดออกมาพร้อมกับจมลงไปอยู่ในห้วงความคิด มันจะเป็นงั้นได้ไง? ทำไมเด็กนี่ถึงได้น่ากลัวขนาดนี้? คนอื่นเขาใช้เวลาตั้งหลายปีกว่าจะสัมผัสสักเสี้ยวของอานุภาพแห่งกฎได้แถมแค่นั้นยังถือว่าเก่งแล้ว ต่อให้เป็นพวกที่เกิดมาในอ้อมกอดของพระเจ้าผู้ที่มีสรีระเทพก็ยังต้องใช้อย่างน้อยหลายปีในการสัมผัส

แต่เนี้ยหลี่กลับสัมผัสได้ในครั้งแรกที่ลองดู ทั้งที่สัมผัสได้ยังไม่ใช่เสี้ยวของแสงธรรมดา แต่เป็นดวงอาทิตย์!

มีคนเคยกล่าวไว้ว่าหากเทพสถิตแห่งแสงบ่มเพาะพลังจนถึงขั้นสุดท้าย พวกเขาจะควบคุมพลังที่ร้อนแรงดั่งดวงอาทิตย์ได้ และทุกครั้งที่เขาสัมผัสถึงอานุภาพแห่งกฎ เขาจะพบกับดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง
แต่เนี้ยหลี่เพิ่งจะเริ่มบ่มเพาะอานุภาพแห่งกฎเท่านั้นก็สัมผัสได้แล้ว!

ขนาดยู่หยานยังรู้สึกว่าตัวเองคงรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้เป็นแน่

เนี้ยหลี่ลองนึกย้อนไปเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ...มันช่างเสียอันตรายจริงๆ แต่อย่างน้อยเขาก็พอเข้าใจแล้วว่าอานุภาพแห่งกฎนั้นมันเป็นยังไง กลับกลายเป็นว่าโลกนี้นั้นถูกสร้างมาจากอานุภาพแห่งกฎ ทั้งพลังวิญญาณของมนุษย์ก็เป็นดั่งรากฐานในการบ่มเพาะพลัง

เนี้ยหลี่กลับไปแช่ตัวในแอ่งน้ำสีดำนั้น ก่อนจะค่อยๆทำความเข้าใจอานุภาพแห่งกฎและแก่นแท้ของมัน เขารู้สึกว่ามีจารึกปริศนาบางอย่างถูกสร้างขึ้นบนแขนของตน อักขระเล็กๆมากมายไหลยาวมาพันเป็นเส้นรอบแขนเขา

“นี่น่ะหรืออานุภาพแห่งแสง!” เนี้ยหลี่ประหลาดใจ จารึกเหล่านี้เป็นหลักฐานที่ว่าอานุภาพแห่งกฎไม่ใช่พลังตามธรรมชาติ แต่ถูกสร้างขึ้นโดยใครบางคนที่จะต้องแข็งแกร่งมากๆ มันเต็มไปด้วยคำจารึกที่ลึกลับที่ได้ค่อยๆสร้างอานุภาพขึ้น

จารึกเหล่านี้มีอยู่ทั่วทั้งโลกราวกับอากาศธาตุ

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยู่หยานถึงสามารถรวมจิตเทพเข้าด้วยกันได้หลังจากแตกสลาย ยู่หยานครองอานุภาพแห่งอัคคีของทั้งโลกและสวรรค์ หรือจะกล่าวได้ว่าอานุภาพแห่งอัคคีคือตัวเธอ! หากยังมีไฟ ตัวเธอก็ไม่ดับสลาย!

หากว่ากันตามตรงแล้ว ในอดีตชาติ ตอนที่เนี้ยหลี่พยายามที่จะบรรลุขั้นที่เหนือกว่าขั้นตำนาน เขาจำเป็นจะต้องบ่มเพาะอานุภาพแห่งกฎ เพราะในโลกนี้นั้นเหมือนกับถูกอานุภาพแห่งกฎปกคลุมไว้ ราวกับกรงนกที่ขังผู้คนไว้ไม่ให้ใครอยู่เหนือกว่านั้นได้ แต่เป็นเพราะโชคชะตาหรืออะไรก็มิทราบ เนี้ยหลี่ได้หลุดเข้าไปในตำราจิตปีศาจชั่วขณะ ได้พบวิธีการบ่มเพาะพลังใหม่ๆ เขาจึงสามารถพาตัวเองออกจากกฎของโลกใบนี้ได้

ในขณะที่ยู่หยานมองจารึกบนแขนของเนี้ยหลี่ที่เต็มไปด้วยพลังอานุภาพแห่งกฎ ตอนแรกยู่หยานคิดว่าเนี่้ยหลี่นั้นเขียนจากรึกพวกนี้ขึ้นเองและก็ตกใจ เนี้ยหลี่ทำยังไงกันถึงสามารถถือครองอานุภาพแห่งแสงได้ภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้? นี่มันเหลือเชื่อมากๆ!

แต่ยู่หยานนั้นไม่รู้หรอกว่าอักขระจารึกที่เนี้ยหลี่ได้มานั้นถูกสร้างโดยตัวอานุภาพเอง แก่นแท้ของอานุภาพแห่งกฎนั้นแท้จริงคืออักขระจารึกจริงๆด้วย และเมื่อมีจารึกก็ต้องมีคนสร้าง แสดงว่าคนที่สร้างจากรึกพวกนี้นั้นจะต้องแข็งแกร่งกว่าตัวเนี้ยหลี่ในชาติก่อนเป็นแน่!

“อานุภาพแห่งกฎเหรอ…น่าสนใจจริงๆ” มุมปากของเนี้ยหลี่แค่นยิ้มขึ้น เสียง ‘ฟุบ’ ปรากฏขึ้น พร้อมกับที่มือขวาของเนี้ยหลี่ปรากฎลูกแสงสีขาวบริสุทธิ์หลายลูกขึ้น ลูกแสงเหล่านี้ดูราวกับนางฟ้าน้อยที่เต้นรำไปรอบ 

‘ที่ไหนมีแสง ที่นั่นก็ต้องมีความมืด... ในเมื่อสองจารึกนี้ตรงกันข้ามกัน มันก็น่าจะง่ายที่จะรับมันมาด้วยกัน’ เนี้ยหลี่ลอบคิดในใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มลองสัมผัสถึงอานุภาพแห่งความมืดดู

ในความว่างเปล่าที่ทั้งหนาวเหน็บและมืดมิด

เนี่ยหลีค่อยๆจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด

ในเมื่อเนี้ยหลี่ไม่คิดจะพูดอะไรและเริ่มสัมผัสอานุภาพแห่งกฎต่อ ยู่หยานก็อดที่จะถอนหายใจในใจไม่ได้ ในชีวิตนับหมื่นๆปีที่เธออยู่มานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพบใครที่มีความสามารถน่าตระหนกแบบนี้ ผู้ที่สามารถครองอานุภาพแห่งแสงได้ในเวลาอันสั้น ยากที่จะจินตนาการได้เลยว่าในอนาคตเนี้ยหลี่จะบ่มเพาะพลังไปถึงระดับไหนได้กัน จะเหนือกว่าเทพสถิตแห่งแสงตอนที่ยังแข็งแกร่งหรือเปล่านะ? ยู่หยานคิดก่อนจะเริ่มบ่มเพาะพลังตัวเอง

เนี้ยหลี่เริ่มสัมผัสถึงอานุภาพแห่งความมืดได้แล้ว ก็นะ ไม่ว่าจะเป็นอานุภาพแห่งแสงหรือความมืด พวกมันก็ยังเป็นรองพลังแห่งสวรรค์อยู่ มันจึงไม่ยากเลยที่จะครองมันไว้ได้

ผ่านไปชั่วครู่ ยู่หยานก็ลืมตาขึ้นและมองไปยังเนี้ยหลี่ด้วยสายตาที่ตกใจสุดๆ

เนี้ยหลี่ค่อยๆยกแขนตัวเองขึ้นพร้อมกับที่แสงสีดำถูกจุดขึ้นเหนือมือของเขาและหมุนไปรอบๆแขนราวกับเปลวเพลิง

แสงและความมืด... เนี้ยหลี่จมสู่ห้วงภวังค์ความคิด เขาสงสัยว่าผู้ที่สร้างอานุภาพแห่งกฎขึ้นมานั้นมีเป้าหมายอะไรกันแน่? ในโลกนี้ การบ่มเพาะอานุภาพแห่งกฎนั้นจำเป็นจะต้องบรรลุระดับลิขิตสวรรค์เสียก่อนถึงน่าจะเหมาะที่สุด แต่เพราะมันเป็นแบบนี้ ทำให้โลกใบนี้ดูราวกับถูกผนึก ซึ่งต่อให้ใครบรรลุระดับลิขิตสวรรค์ได้ พวกเขาก็จะไม่สามารถอยู่เหนือสมดุลแห่งกฎและบรรลุระดับที่สูงกว่าได้

หากไม่ใช่เพราะตำราจิตปีศาจชั่วขณะในชาติก่อนของเขา เนี้ยหลี่คงไม่สามารถอยู่เหนือสมดุลแห่งกฎและไปยังดินแดนใหม่ได้

ช่างมันละกัน ตอนนี้กลับมาอยู่ปัจจุบันก่อนดีกว่า

เนี้ยหลี่กลับมาเล่นกับอานุภาพแห่งแสงและความมืดต่อ ควบคุมพวกมันให้อยู่ในรูปร่างต่างๆ ด้วยอานุภาพแห่งกฎเหล่านี้ในตัว ต่อให้เขาเจอกับนักสู้ระดับสูง เขาก็น่าจะพอรับมือกับอีกฝ่ายได้

เหนือแอ่งน้ำสีดำ ยู่หยานก็นิ่งงันอยู่นานสองนานในระหว่างที่จ้องเนี้ยหลี่ เธอไม่รู้เลยว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบายความรู้สึกเธอตอนนี้ดี

สามารถสัมผัสถึงอานุภาพแห่งแสงได้ในครั้งแรกที่ลองทั้งแสงที่สัมผัสยังเป็นดวงอาทิตย์ แถมยังใช้เวลาไม่นานก็รู้วิธีควบคุมและใช้อานุภาพแห่งแสงแล้ว

แต่ที่ตลกร้ายกว่านั้นคือหลังจากถือครองและควบคุมอานุภาพแห่งแสงได้แล้ว ยังสามารถถือครองและควบคุมอานุภาพแห่งความมืดได้อีก

...มันยังเป็นมนุษย์อยู่ใช่ไหม?

ในหมื่นปีที่ยู่หยานอยู่มา เธอไม่เคยเจอใครที่สามารถครองอานุภาพแห่งแสงและความมืดได้เหมือนเนี้ยหลี่มาก่อน หากเวลาผ่านไป เขาจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน!?

ขนาดยู่หยานยังคิดไม่ออกเลย

ในโลกนี้ไม่มีใครที่สามารถครองอานุภาพแห่งกฎได้ถึงสองอย่างมาก่อน! นี่ยังไม่นับว่าอานุภาพแห่งแสงและความมืดเป็นอานุภาพที่แข็งแกร่งติดสิบอันดับด้วยนะ

ในใจของยู่หยานตอนนี้นั้นเธอไม่สามารถสงบจิตใจลงได้เลย ตอนแรกเธอคิดว่าเนี้ยหลี่น่าจะใช้เวลาหลายปีถึงจะสัมผัสถึงอานุภาพแห่งแสงได้สักเสี้ยว แต่กลับกลายเป็นว่าเนี้ยหลี่กลับทำให้เธอตกใจได้ขนาดนี้

เธอจ้องเนี้ยหลี่ด้วยใจที่สั่นระรัว ถึงแม้เธอจะอยู่มาหลายหมื่นปีแต่เธอก็ยังต้องสูญเสียความเยือกเย็นเมื่อพบกับการเข้าถึงอานุภาพแห่งกฎที่รวดเร็วของเนี้ยหลี่ เขาจะรู้มั้ยนะว่าเธอผ่านความยากลำบากตรากตรำมาขนาดไหนกว่าจะเข้าถึงอานุภาพแห่งกฎได้!

เนี้ยหลี่เงยหน้ามองยู่หยานก่อนจะเห็นว่าสีหน้าของเธอดูไม่ดีเท่าไหร่ เขาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “พี่เทพธิดา ท่านเป็นอะไรเหรอ?”

“ปะ เปล่า…” เธอตอบเสียงสั่น

กับเนี้ยหลี่แล้ว ความเร็วในการเข้าถึงพลังแบบนี้ถือว่าเป็นธรรมดา ในสายตาของคนอื่นอย่างยู่หยานที่เห็นอานุภาพแห่งกฎเป็นกฎแห่งโลกและสวรรค์ พวกเขานั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิดและตั้งคำถามเกี่ยวกับพลังนั้น แต่นั่นผิดกับเนี้ยหลี่ เขาจะคิดสงสัยและมองมันทุกมุมมองเพื่อที่ทำความเข้าใจกับอานุภาพแห่งกฎ นั่นจึงทำให้เขาสามารถครองอานุภาพแห่งกฎได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากครองอานุภาพแห่งกฎและความมืดแล้ว เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าเหล่านักสู้ระดับตำนานทั่วไปก็เป็นได้ เพราะถึงยังไง อานุภาพแห่งกฎนั้นก็แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้วเมื่อเทียบกับพลังวิญญาณ

เนี้ยหลี่เริ่มฝึกฝนต่อในแอ่งน้ำสีดำ เขาเริ่มใช้พลังของอานุภาพแห่งแสงและความมืดทำให้ร่างกายและขอบเขตวิญญาณของตนให้ดีขึ้น ในตอนนั้นนั่นเอง พลังของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป จากเดิมที่อยู่ที่ระดับโกลขั้นที่ 4 ก็ได้เลื่อนเป็นระดับโกลขั้นที่ 5

ชัดเจนเลยว่า หากเขาบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ความเร็วในการบ่มเพาะพลังก็คงเหนือกว่าแต่ก่อนอย่างแน่นอน

ต่อให้เป็นระดับแบล็คโกลด์ก็ไม่น่าจะไกลเกินเอื้อมจากตอนนี้แล้ว

เนี้ยหลี่ครุ่นคิดในใจ หากเขาสามารถบรรลุระดับแบล็คโกลด์ได้ และด้วยไพ่ลับทั้งหลายที่เขาซ่อนไว้ หากเขาปะทะกับนักสู้ระดับตำนาน เขาก็น่าจะพอปกป้องตัวเองได้

หลังบรรลุระดับโกลขั้นที่ 5 เนี้ยหลี่ก็รับรู้ได้ว่าอสูรแพนด้าเขี้ยวมีทักษะใหม่ มันเป็นพลังสีดำและขาวที่อยู่บนท้องของอสูรแพนด้าเขี้ยว ในตอนนั้นเอง มือข้างหนึ่งของมันก็ควบคุมพลังสีดำ อีกข้างก็คุมพลังสีขาว และหากพลังทั้งสองไปปะทะกับใครเข้า มันก็จะปล่อยที่มากมายมหาศาลออกมาทำลายคู่ต่อสู้

เนี้ยหลี่เริ่มตั้งใจที่จะนำทักษะใหม่นี้ไปใช้ในการต่อสู้

ส่วนอสูรเงาปีศาจ เนี้ยหลี่ก็รับรู้ได้ว่ามันก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน มันทำให้ทักษะหายตัวของอสูรเงาปีศาจยืดเวลาไปอีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นและยากที่จะรับรู้ได้ ดูเหมือนว่าอสูรเงาปีศาจจะมีประโยชน์ขึ้นมากเลยล่ะนะ

เนี้ยหลี่จมอยู่ในห้วงความคิดอยู่คนเดียวในขณะที่ยู่หยานก็อยู่เหนือแอ่งน้ำสีดำ จ้องมาที่เขา และกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดเช่นเดียวกัน

ตอนแรกที่เนี้ยหลี่บอกเธอว่าเขาสามารถช่วยเธอสร้างสรีระเทพได้ เธอยังไม่เชื่อ แต่หลังจากเห็นเนี้ยหลี่ครองอานุภาพแห่งกฎถึงสองอย่างในเวลาไม่นาน เธอก็เริ่มจะเชื่อบ้างแล้ว... 

เนี้ยหลี่ยังคงงุ่นอยู่กับการฝึก ผ่านไปไม่นาน เวลาก็ได้ล่วงเลยมากว่ายี่สิบวันแล้ว ถึงแม้พลังของเขาจะหยุดอยู่ที่ระดับโกลขั้นที่ 5 แต่หลังจากครองอานุภาพแห่งกฎ ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งพอๆกับนักสู้ขั้นแบล็คโกลด์เลยก็ว่าได้

จบตอน

แปลไทยโดย 
Ganauou H Shitai

8 ความคิดเห็น: